life success

sawasdee kaการปะติลูบคลำ "การศึกษาไทย" ที่ยุ่งเหยิงมานานนับสิบปีไม่ไปไหน เพราะพวกเรา (เสนาบดีเจ้ากระทรวง ข้าราชการ นักวิชาการ สื่อสารมวลชน และรวมทั้งนักวิชาเกินอย่างผมด้วย) ต่างก็พุ่งเป้าชี้มือโทษไปที่ "ครูและโรงเรียน" เป็นจำเลยที่ไม่พัฒนาไปถึงไหน ต้องปรับปรุง พัฒนา อบรม สร้างความตระหนักให้มาก ลงทุนทุ่มลงไปมากมายมหาศาล ตั้งแต่ แท็ปเล็ต (น้ำตาเล็ดเพราะจิ้มไม่ไป ตอนนี้กลายเป็นขยะอยู่หลังห้อง) ห้องเรียนเทคโนโลยีวิเศษ (ชื่อแปลกๆ) สื่ออิเล็กโทรนิกส์ ยางรถยนตร์ทาสีสันแสบตา และอื่นๆ อีกมากมาย จนมาปีนี้ทุ่มทุนสร้างจัดตลาดนัดวิชาแจกทุนคนละหมื่นให้ไปอบรมตามใจชอบ ก็มีข่าวเหม็นๆ เรื่องเงินทอน จนหลายสถาบันผู้จัดขอระงับการจัดอบรมไปนับร้อย นี่เป็นหนทางที่ถูกต้องแล้วหรือ? พวกเรากำลังลงโทษโรงเรียนและครูมากไปหรือเปล่า? เราชี้หน้าด่าคนผิดไปใช่ไหม.... บลาๆๆๆ

ผมว่า "เราโทษคนผิดไปจริงๆ เราลืมความจริงที่ว่า โรงเรียนไม่ใช่โรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถผลิตสินค้าที่ดี ไม่มีตำหนิได้ทุกชิ้น แม้ว่า วัสดุตัวป้อนจะมีตำหนิ รูปร่าง สมองที่แตกต่างกัน สัมฤทธิผลจากโรงเรียนจึงไม่อาจออกมาได้เริ่ดเลอ สมดังความตั้งใจของผู้กำหนดนโยบาย ไม่ว่าจะนำมาตรวัด O-net, A-net, NT, PISA มาวัดอย่างไรก็ไม่เป็นผล" พวกเราลืม "ตัวป้อน" ซึ่งก็คือนักเรียน และ "สภาพแวดล้อม" คือครอบครัว พ่อ-แม่ ผู้ปกครองและสังคมรอบข้าง ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ไปเสียสิ้น เราจะปฏิรูปการศึกษาแต่ดันไปเข้าเกียร์ R ให้ถอยหลังซะงั้น ได้โปรดคืนเวลาให้คุณครูได้อยู่ดูแลครอบครัวในวันหยุดที่ไม่เคยได้หยุด ได้เตรียมการสอนเพื่อสอนนักเรียนจริงๆ เสียทีเถิด ใบงาน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และครูตู้มันช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกครับ

ผมได้อ่านข้อความที่แชร์กันในโลกออนไลน์ (Facebook) เมื่อหลายวันก่อน เกี่ยวกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของจีน นางเผิง ลี่หยวน (ภริยาของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xí Jìnpíng)) ดังที่ลอกมาให้ท่านได้อ่านและพิจารณา ดังนี้

perng li yuan

ภรรยาประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (เผิง ลี่หยวน) ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อเรื่อง "คะแนนสอบเอ็นทรานซ์" ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวงการศึกษาของประเทศจีน 

คะแนนสอบของลูก ไม่ได้มีความสำคัญเทียบเท่ากับการสอนให้ลูกรู้จักสำนึกในบุญคุณ รู้จักเรียนรู้การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ลูกจะมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง ผู้ปกครองจะมีวิธีอบรมปลูกฝังอย่างไร การที่จะให้ทรัพย์สินแก่ลูกหลาน ทำไมไม่คิดจะสร้างลูกให้กลายเป็นทรัพย์สินล้ำค่าเล่า นั่นคือการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม

ดังนั้นการเก็บสะสมทรัพย์สินมหาศาลให้กับลูกหลานไม่สามารถเทียบเท่ากับการให้ข้อคิดดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตดังต่อไปนี้

  1. ลูกรัก... ลูกต้องเรียนรู้ที่จะทำอาหาร นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการดูแลปรนนิบัติคนอื่น แต่เมื่อคราที่คนที่รักลูกไม่ได้อยู่ข้างกายลูก ลูกก็จะสามารถดูแลตนเองได้ (อยู่รอดได้ด้วยตนเอง)

  2. ลูกรัก... ลูกจะต้องเรียนรู้ที่จะขับรถ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับฐานะตำแหน่งหน้าที่ เพราะเช่นนี้แล้ว ลูกก็จะสามารถไปในทุกๆ ที่ลูกอยากไปทุกเวลา ไม่ต้องไปขอร้องใคร (มีอิสระเสรี)

  3. ลูกรัก... ลูกจะต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้มาตรฐาน นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการรับรองฐานะการศึกษา ในชีวิตคนเราจำเป็นต้องผ่านประสบการณ์ในมหาวิทยาลัยสัก 3-4 ปี ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่มีเงื่อนไข และเป็นชีวิตที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะให้มีสติปัญญา ความนึกคิดและการใช้เหตุผล (เมื่อเข้าไปสู่สังคมก็เสมือนเข้าไปสู่ชีวิตจริง)

child in china 2

  1. ลูกรัก... ลูกรู้หรือไม่ ฝากรอยเท้าไกลเท่าไหน จิตใจจะกว้างเท่านั้น เมื่อใจกว้างแล้ว ลูกจึงจะมีความสุข หากเดินไปได้ไม่ไกล ให้หนังสือช่วยพาลูกเดินไป (เปิดกว้างโลกทัศน์ของตนเองโดยอาศัยโลกแห่งความรู้)

  2. ลูกรัก... หากโลกนี้เหลือเพียงน้ำสองถ้วย ให้เก็บถ้วยหนึ่งเอาไว้ดื่ม ส่วนอีกถ้วยหนึ่งใช้ทำความสะอาดใบหน้าและชุดชั้นในของลูก (การเห็นคุณค่าของตัวเองไม่เกี่ยวกับความจนความรวย)

  3. ลูกรัก... หากฟ้าถล่มทลายลงมา ก็ไม่ต้องร้องไห้ และไม่ต้องบ่นว่าอะไร เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้คนที่รักลูกยิ่งเจ็บปวดใจ ส่วนคนที่เกลียดลูกจะยิ่งได้ใจ (ยอมรับชะตากรรมอย่างสงบ คนที่เรารักจะมีความสุข)

  4. ลูกรัก... ต่อให้ต้องกินข้าวคลุกซีอิ๊วขาว ก็ต้องปูผ้าปูโต๊ะที่สะอาด และนั่งลงไปอย่างสง่างาม ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอย่างใส่ใจในคุณภาพ (มารยาทและสถานการณ์ไม่เกี่ยวข้องกัน)

  5. ลูกรัก... เมื่อไปยังสถานที่ไกลๆ จำไว้ว่านอกจากจะต้องนำกล้องถ่ายรูปไปแล้ว ก็ต้องนำปากกาและกระดาษไปด้วย วิวทิวทัศน์นั้นเหมือนกัน แต่อารมณ์ที่ดูวิวทิวทัศน์นั้นไม่สามารถกลับมาซ้ำเหมือนเดิมได้อีก สวี่เสียเค่อ (xu xia ke) นักภูมิศาสตร์ นักเดินทางชาวจีนที่เป็นสวี่เสียเค่อในวันนี้ มิใช่เพราะเดินทางมากที่สุด เขายิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง เพราะการบันทึกเรื่องราวและประสบการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วนที่ได้จากการเดินทางที่ทิ้งไว้ให้กับชนรุ่นหลัง

child in china 1

  1. ลูกรัก... ลูกจะต้องมีพื้นที่เป็นของตนเอง ต่อให้มีแค่ 5 ตารางเมตรก็ตาม เพราะตอนที่ลูกทะเลาะกับคนรักและฉุนโกรธเดินออกมา ก็ไม่ถึงกลับร่อนเร่ไปตามถนน พบเจอกับคนไม่ดี สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือเมื่อตอนที่ลูกใจร้อน ก็จะมีสถานที่ที่ทำให้ลูกใจเย็นลงได้ ให้หัวใจของลูกได้พักไว้ในมุมนั้น (อุปนิสัยแบบอิสระ)

  2. ลูกรัก... เมื่อตอนยังเด็กจะต้องมีความรู้ เมื่อโตขึ้นจะต้องมีประสบการณ์ ลูกจึงจะมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าอย่างมีคุณภาพ (อ่านประสบการณ์ของผู้อื่น และหาประสบการณ์ให้กับตนเอง)

  3. ลูกรัก... ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม ก็จงเป็นคนดีมีเมตตา โปรดจำไว้ว่า การมีจิตใจดี ก็จะทำให้ลูกเป็นผู้ที่ได้รับความคุ้มครองดูแลอย่างดีที่สุดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย (การคุ้มครองดูแลนี้ไม่ใช่ความร่ำรวยและอำนาจ ทำดีย่อมได้ดีตอบแทน)

  4. ลูกรัก... รอยยิ้ม ความสง่างาม ความมั่นใจ นั้นเป็นทรัพย์สินทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากมีสิ่งเหล่านี้ ลูกจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง (นี่ก็คือจิตวิญญาณของ "ผู้ดี")

Cr : ผู้แปล แอม (สุวิไล) @ เจนบรรเจิด

"งานบ้าน" สร้างความสำเร็จในชีวิตให้กับลูก

ซึ่งสอดคล้องกับ ผลการศึกษาวิจัยชี้ว่า เด็กที่ "ทำงานบ้าน" เป็น มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในชีวิตและมีนิสัยที่ดีมากกว่า!! เป็นผลของการสร้างวัตถุดิบ (ตัวป้อนที่ดี) จากบ้าน (ครอบครัว) ส่งไปยังโรงงานอุตสาหกรรมสร้างคนที่ดี (โรงเรียน)

Julie Lythcott-Haims นักเขียน และอดีตผู้นำนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Stanford University ที่ได้มากล่าวบนเวที TED Talk ในหัวข้อ “วิธีการเลี้ยงลูกให้เขาประสบความสำเร็จ โดยไม่บงการมากจนเกินพอดี”

child home work 2

สำหรับพ่อแม่ทั้งหลายแล้ว การได้เห็นลูกๆ ประสบความสำเร็จนั้นก็ถือเป็นการเติมเต็มความฝันอย่างหนึ่งเลยทีเดียวล่ะ แน่นอนว่าการจะทำให้ลูกๆ ประสบความสำเร็จได้นั้น พ่อแม่เองก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่คอยสนับสนุน และให้การช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเท่าที่จะสามารถทำได้ สำหรับวันนี้ ก็จะขอมาแนะนำวิธีในการที่จะช่วยให้ลูกๆ ประสบความสำเร็จในอนาคต เผื่อว่าจะเกิดประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายไม่มากก็น้อย

จากการศึกษาพบว่า เด็กที่ทำงานบ้าน มาตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ

  • จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ
  • พร้อมจะให้ความช่วยเหลือกับผู้อื่นมากกว่า
  • จะช่วยให้พวกเขามีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เพราะว่าตัวเองเคยผ่านความยากลำบากมาแล้ว ซึ่งการทำงานบ้านในตอนเด็กๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับพวกเขา
  • จะช่วยให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและตรงตามต้องการ เพราะคนที่ทำงานบ้านเป็นมักจะคอยฟังคำแนะนำวิธีการอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งนำมาซึ่งนิสัยตั้งใจฟัง จับประเด็น อันเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้สิ่งต่างๆ
  • นอกจากนี้จากการศึกษายังได้ผลอีกว่าเด็กที่ทำงานบ้านมาตั้งแต่เด็กๆ และยิ่งทำมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้พวกเขามีความสุขกับชีวิตครอบครัวมากยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งขยะ การปัดกวาดบ้าน การซักผ้า การล้างจาน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ครอบครัว’ และหากพวกเขาได้ทำงานบ้าน ก็เท่ากับว่าเขาได้ใกล้ชิดและเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และทำให้เด็กรู้สึกภูมิใจในตัวเอง และรู้สีกว่าตัวเค้ามีคุณค่า ทำให้พวกเขามองเห็นความสำคัญและชอบที่จะช่วยงานบ้าน การทำงานบ้านเป็นการฝึกสติ (ให้มีความจดจ่อ ละเอียดในงานที่ทำ เช่น การล้างแก้วน้ำ ถ้วย จาน ช้อน หากมีสติย่อมไม่ทำให้แก้วน้ำ ถ้วย จาน ตกแตกหรือบิ่นได้) เป็นการสร้างปัญญา เพราะเมื่อทำงานบ้านจะได้พิจารณาถึงงานที่ทำว่ามีความยากง่ายอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะสะอาด รวดเร็ว เป็นระเบียบเรียบร้อย และสร้างความภูมิใจในงานที่ทำยิ่งขึ้นเมื่อได้รับความชื่นชมจากพ่อ-แม่ ผู้ปกครอง

child home work 3

ในปัจจุบันนี้ เราจะได้ยินผู้คนทั่วไป นักการศึกษา กล่าวกันว่า...

เคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไม เด็กสมัยนี้ ไม่ค่อยอดทนกับสิ่งใด เลย แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิต ทุกวันนี้เราเห็นเด็กถือแต่ Smartphone iPadไว้เล่นเกม ครอบครัวเองก็เลี้ยงลูกตามใจ จึงทำให้เด็กไทยมีโรคใหม่ติดตัวที่ชื่อว่า “โรคไม่รู้จักความลำบาก”

โรคไม่รู้จักความลำบาก

บทความจาก FB Basic-Skill for young children พูดถึง “โรคไม่รู้จักความลำบาก” เป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นสำหรับเด็กๆ และจะกลายเป็นปัญหาต่อการเติบโต หากพ่อแม่ไม่ได้เลือกสร้างภูมิคุ้มกันของความลำบากให้ลูก ไม่เลือกให้ลูกได้ออกไปพบเจอโลกของความจริงที่ว่า ชีวิตแม้ว่าจะรวยหรือจนก็ไม่มีใครสบายได้ตลอดไป ต้องมีความลำบาก ความทุกข์ เกิดขึ้นปะปนกัน โดยสาเหตุที่เด็กถึงเป็นโรคไม่รู้จักความลำบาก

1. มีเทคโนโลยีครอบงำ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันอย่างการใช้สมาร์ทโฟน แทปเล็ต ได้กลายมาเป็นสื่อที่มีบทบาทกับเด็กๆ ตั้งแต่ตัวเล็กๆ ในยุคดิจิตอล และมีอิทธิพลมากขึ้นกว่าในสมัยก่อน ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ หลายราคาที่จับต้องได้ ทำให้พ่อแม่ยุคใหม่หยิบยื่นให้ลูกใช้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร และไม่พยายามปฏิเสธหรือเบี่ยงเบนความสนใจให้ลูกไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ด้วยเหตุผลให้เล่นแล้วเงียบไม่กวนใจ

child home work 4

2. อยากให้ลูกสบายเป็นผลทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว

การมีพี่เลี้ยงไว้คอยดูแลลูกน้อย เพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่อันเหนื่อยหนักของพ่อแม่ โดยไม่ยอมสอนลูกให้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง จนลูกไม่สามารถทำอะไรเป็นได้ เมื่อเติบโตขึ้นในสังคม เช่น เริ่มต้นเข้าโรงเรียนก็จะกลายเป็นภาระให้กับบุคคลรอบข้างที่ต้องคอยช่วยเหลือ เรามักจะได้ยินพ่อแม่บางคนบอกลูกว่า "ไม่ต้องมาช่วยงานพ่อแม่หรอก มันเหนื่อย เอาเวลาไปเรียนหนังสือไป" ซึ่งไม่ถูกต้องเลย

3. ปกป้องลูกมากเกินไป

เพราะความกังวลเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับลูกรัก จึงไม่หาโอกาสพาลูกออกไปเปิดประสบการณ์ต่อโลกภายนอก และจำกัดที่ทางให้ลูกอยู่ภายใน comfort zone ยอมให้ลูกนั่งดูทีวี เปิดยูทูป เล่นเกมในไอแพด ซึ่งเป็นการปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้กับสังคมภายนอก และไม่รู้จักกับการแยกแยะความแตกต่างระหว่างคนดีกับคนไม่ดี ขาดการสังเกตและเรียนรู้ เด็กจึงเข้าสังคมกับคนอื่นได้ยาก มีความเห็นแก่ตัว และบางคนถึงกับเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แต่ในโลกส่วนตัว

4. ไม่ยอมปล่อยให้ลูกลำบาก เพราะพ่อแม่เคยลำบากมาก่อน

เพราะไม่อยากให้ลูกมีชีวิตเหมือนที่ตนเองเคยเป็นมาก่อน พอฐานะดีขึ้นจึงส่งเสริมและเลี้ยงลูกด้วยวัตถุ เงินทอง ฯลฯ เหล่านี้จะทำให้เด็กกลายเป็นคนขาดความอดทน ไม่มีความมั่นคงในจิตใจ อ่อนแอ และแข็งกระด้าง ไม่มองว่า ตนเองที่สำเร็จขึ้นมาได้เพราะความอดทน ต่อสู้กับความยากลำบากมาก่อนแท้ๆ

child home work 5

5. การใช้ชีวิตติดรูปแบบจากอิทธิพลของสื่อ

ด้วยเทคโนโลยีที่เข้าถึงอย่างรวดเร็ว และมีการนำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดูสวยหรูผ่านสื่อทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หรือสื่อออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ มีการโชว์และแชร์ถ่ายภาพ อวดของหรู ชูของสวย ด้วยอิทธิพลของสื่อเองและการเลี้ยงลูกแบบตามใจมาก่อน ทำให้เด็กเกิดความอยากได้อยากมีตามกระแสสังคม นำไปสู่ก้าวที่พลาดมากมาย กระทำความผิดโดยไม่รู้ตัว จนหมดสิ้นอนาคต

ดังนั้น การเลือกสอนให้ลูกรู้จักกับความลำบาก ฝึกลูกให้มีหน้าที่รับผิดชอบ รู้การแบ่งปัน การให้ และเรียนรู้ หรือพยายามทำด้วยตัวเองได้ตั้งแต่เด็กย่อมเป็นสิ่งที่ดี

คำแนะสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะต้องดูแลเยาวชนในการใช้สื่อเทคโนโลยี ให้จำง่ายๆ ด้วยการใช้หลัก 2 ว. 2 น.

child technology 2

หลักการ 2 ว. 2 น.

ว. ที่ 1 คือ วัย

  • อายุน้อยกว่า 2 ปี ไม่ควรใช้สื่ออิเล็กทรอนิกทุกชนิด
  • อายุน้อยกว่า 6 ปี ไม่ควรใช้อินเตอร์เน็ต
  • อายุน้อยกว่า 13 ปี ไม่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกชนิด

ว. ที่ 2 คือ เวลา

  • แม้อายุเด็กเกินกำหนดเวลา (วัย) ดังกล่าวแล้ว แต่ก็ควรจำกัดการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน  โดยเฉพาะใช้เพื่อความบันเทิง เล่นเกมส์ เล่นอินเตอร์เน็ต หากเล่นเพื่อการศึกษาให้ผู้ใหญ่พิจารณาตามความเหมะสม
  • แนะนำการใช้ให้เหมาะสมกับเวลา  งดการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในเวลานอน หรือเวลารับประทานอาหาร รวมทั้งไม่ใช้ในขณะทำกิจกรรมอื่น เช่น ใช้ถนน หรือ ขับขี่ ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้
  • วางโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ในพื้นที่ส่วนกลางของบ้าน ไม่วางในห้องนอนหรือที่ลับตา  หาเวลาและกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกันในครอบครัว เช่น การทำกิจกรรม หรือ ไปเที่ยวนอกบ้าน นอกเหนือการสื่ออิเล็กทรอนิกส์

child technology 3

และอีก 2 น

น. ที่ 1 คือ เนื้อหา

  • ผู้ปกครองควรทราบเนื้อหารายการ เกมส์ website และ Application ที่ลูกใช้
  • ควบคุมการใช้สื่อที่มีความรุนแรง  ยาเสพติด หรือเนื้อหาทางเพศที่ไม่เหมาะสมกับวัย หากเป็นรายการทางโทรทัศน์สามารถเลือกรายการ ตามการจัดระดับความเหมาะสมตามวัยดังรูป
  • ติดตั้งโปรแกรมติดตามการใช้อินเตอร์เน็ตและขัดขวางการเข้าใช้เวปไซต์ที่ไม่เหมาะสม เช่น โปรแกรม ICT Housekeeper ของกระทรวงICT  โปรแกรม Gamer Guard ของกระทรวงวัฒนธรรม และโปรแกรมใส่ใจ เป็นต้น

น. ที่ 2 คือแนะนำ

  • ร่วมกันกำหนดกติกากับเด็ก เกี่ยวกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในเรื่องระยะเวลาที่ใช้และเนื้อหาต่างๆ ตั้งแต่เริ่มใช้
  • ผู้ปกครองควรร่วมใช้สื่อต่างๆ เหล่านี้ร่วมกับเด็ก และคอยให้คำแนะนำเด็ก หากพบรายการที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม
  • เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ

child technology 5 

ขอฝากเนื้อหานี้ไปถึงผู้ปกครองทุกท่าน ลูกหลานจะดี ประสบผลสำเร็จ ล้วนมาจากการเอาใจใส่เลี้ยงดูที่ดีมาจากที่บ้าน โรงเรียนและครูเป็นเพียงแหล่งที่คอยปรับแต่ง ปรับปรุง ส่งเสริม ชี้แนะแนวทาง ให้นักเรียนได้เลือกเส้นทางที่ชอบ ที่ถูกต้องเหมาะสมกับพวกเขาในการก้าวเดินออกไปอย่างมั่นคงในสังคมยุค 4.0 นี้เท่านั้น ลูกหลานอยู่กับท่านมากกว่า 16 ชั่วโมงต่อวัน แต่อยู่ที่โรงเรียนเพียงไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์เท่านั้น ถ้าครอบครัวไม่ช่วยดูแลต่อให้ครูไปอบรมการสอนจนดำเป็นตอตะโกก็ไม่สามารถช่วยลูกหลานของท่านให้ดีขึ้นได้หรอกครับ ช่วยกันหน่อยนะ

teacher 06