foto1
ความงดงามการศึกษาไทย
foto1
เพื่อ?
foto1
ไม่เข้าใจ?
foto1
วิทยากรที่กระทรวงศึกษาธิการ สปป.ลาว
foto1
ท่องทะเลทรายที่ดูไบ UAE


Friendly Links

เรียนรู้ภาษา html
isangate banner
easyhome banner
ipst banner
sakdibhornssup foundation
13 Thai free fonts
speedtest
e mil

Facebook Likebox

No. of Page View

webmaster talk

วันครูเวียนมาบรรจบ : ครูเราควรทบทวนบทบาทอีกสักครั้งดีไหม?

julingในวันครูปีนี้ถ้า... ไม่มีครูจูหลิง ก็คงจะเงียบเหงาเหมือนปีก่อนๆ ที่จะมีการจัดงานเป็นการเฉพาะให้กับคุณครูที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ แล้วก็ลืม... และเลิกลาไปจนกว่าจะถึง 16 มกราคมปีหน้า ผมลองนั่งวิเคราะห์ดูแล้วพบว่า คนที่ถูกยกย่องเชิดชูนี่จะมีอยู่ 2 กลุ่ม

กลุ่มแรกคือ ครูดีเชิงประจักษ์ คือทุกคนมีความเห็นร่วมกันว่านี่แหละใช่เลย มีความเชื่อมั่นว่าเขาเป็นครูดีโดยแท้ในจิตวิญญาณ สมควรยกย่องเชิดชู

ส่วนกลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่เสนอตนเข้าไปว่า ฉันคือครูดี (ขอเรียกว่า ครูเอกสารตราตั้ง) กลุ่มนี้เขาให้กรอบว่า เขตพื้นที่เลือกสรรด้วยการเลือกมาจาก "ผลงานที่เป็นกระดาษ" และ พิจารณารวดเร็วปานฟ้าแลบจากคณะกรรมการที่อาจจะไม่เคยรู้จักตัวตนของครูผู้นั้นด้วยซ้ำ และจากข้อมูลที่เค้นมาแบบร้อนๆ เหมือนกัน เวลามีการประกาศในที่ประชุมจึงมักจะมีเสียงดังอื้ออึง (ทั้งที่ชื่นชมบ้าง และคล้ายๆ เสียงโห่ก็มี)

หลักเกณฑ์การเลือกสรร เหล่านี้ จึงควรถึงเวลาปรับเปลี่ยนกันได้แล้ว "ความขลังและศักดิ์สิทธิ์ของเกียรติยศศักดิ์ศรีครูดี จึงจะเกิดขึ้นจริงและน่าเชื่อถือ"

aboatมีเพื่อนคนหนึ่งถามผมว่า "ทำไมผมไม่เขียนคำขอเพื่อเข้าประกวดเป็นครูดีเด่น หรือทำผลงานอาจารย์ 3 เหมือนคนอื่นเขา ไม่อยากได้หรือ?" และคำถามนี้ ผมก็จะได้รับการถามไถ่เสมอจากหลายๆ ท่านที่ได้พบในวาระโอกาสต่างๆ ผมเลยตอบเพื่อนคนนี้ไปว่า เพราะผมไม่ใช่เป็ดและเป็นเป็ดไม่ได้ด้วย ความหมายของผมคือ แบบฟอร์มบรรดามีทั้งหลาย ที่จะให้ผมเขียนถึงตนเอง เพื่อให้ได้เป็น ครูดี นั้นมันมีลักษณะของเป็ด กล่าวคือ คุณว่ายน้ำได้แต่ไม่เก่งอย่างปลา บินได้บ้างแต่ไม่เก่งอย่างนก เดิน-วิ่งได้แต่ก็เถลไถลคล้ายดั่งแม่ปู แม้ว่าตัวผมนั้นไม่ยิ่งใหญ่เป็นเจ้าป่าอย่างราชสีห์แต่ก็วิ่งเร็วดั่งเสือชีต้า

ผมศึกษาและเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำมาปรับใช้ในการทำงาน และการสอน วิ่งตามเทคโนโลยีเพื่อรับใช้ความอยู่รอดของชีวิต ดังเสือชีต้าที่วิ่งควบอย่างรวดเร็วเพื่อล่าเหยื่อ และรักษาชีวิตตนเองให้อยู่รอด นั่นก็คือ ผมยินดีรับคำยกย่องจากเพื่อนๆ ว่า ผมมีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องที่ผมถนัดและทำเป็นกิจวัตร แต่ไม่อาจจะขียนยกย่องตนเองในสิ่งที่ผมไม่รู้และเชี่ยวชาญได้เลย มันมีความรู้สึกผิดที่จะทำเช่นนั้น และผมก็ยังมีความสุขดีในการทำงานและไม่คิดหลอกตนเอง

ถ้าแม้นจะมีผู้ใดคิดจะสนับสนุนผมให้ได้รับเกียรติยศนั้น ด้วยวิธีการเชิงประจักษ์ ผมก็มีข้อมูลพร้อมมูลในการนำเสนอให้เห็นได้ด้วยตา หลายๆ เรื่องเป็นงานอันอำนวยประโยชน์ให้กับสังคม สนับสนุนเพื่อนร่วมงาน ทุกคนเห็นว่าดีและใช่เลยที่ผมทำ แต่... มันไม่มีช่องที่จะให้กรอกได้เลยว่า เสือชีต้ามีลักษณะเดียวกันกับเป็ด

ระหว่างที่เขียน (พิมพ์) บทความนี้ผมกำลังดูรายการ คน คม คิด ตอน ครูในฝันของสังคมไทย ควรเป็นอย่างไร? ก็ลองคลิกไปดูรายการย้อนหลังได้นะครับ ความคิดของคุณดำรง พุฒตาล (แขกร่วมรายการ) มีความเห็นสอดคล้องกับผมทีเดียวในแง่ที่ว่า ครูในอดีตนั้นเป็นคนเก่ง คนดี ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบในอุดมคติ เพราะคนที่เก่งที่สุดในจังหวัดในสมัยก่อน จะถูกคัดเลือกส่งไปเรียนครู แต่ในปัจจุบันคนที่เรียนจบสายครูส่วนใหญ่ ไม่ได้มีความประสงค์จะเลือกเรียนเลย แต่เพราะสอบคัดเลือกเข้าสถาบันอุดมศึกษาตามคณะที่ต้องการไม่ได้ เมื่อมาประกอบอาชีพครูเราจึงได้พบกับครูใจยักษ์ ครูนักเลง ครูนักเที่ยว และสารพัดครูที่ปรากฏในข่าวลบในหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ทุกวันนี้

เราจะทำอย่างไรให้วันที่ 16 มกราคม ของทุกปีคือ "วันครู" ให้คนไทยทุกคนรับรู้ร่วมกัน ไม่ใช่แค่ "วันหวยออก" เท่านั้นเอง "

บทบาทที่เราควรจะต้องทบทวนในวันนี้ ก็คงจะเป็นเรื่อง ภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และการพัฒนาวิชาชีพให้เป็นที่ต้องการของสังคม เป็นอาชีพลำดับที่ 1 เพราะครูคือผู้สั่งสอนความรู้ แนวคิดให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อให้สนใจเรียนรู้และประกอบอาชีพอื่นๆ สถาบันของครูจะต้องเป็นที่ ที่ควรเคารพ ยกย่อง เชิดชู เชื่อถือได้ การได้มาซึ่งผู้เข้าไปดำเนินการและเกี่ยวข้องกับสถาบันนี้ จะต้องโปร่งใส มีความสามารถและจิตวิญญาณของครูอย่างแท้จริง มิใช่ได้มาเพราะการซื้อสิทธิ ซื้อเสียง เฉกเช่นนักการเมืองเลว ที่ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนเช่นทุกวันนี้ ลองพิจารณาดูนะครับ

ก่อนวันครู คือ วันเด็ก

มีคำถามต่อมาอีกว่า "เด็กนักเรียนไทยในวันนี้เป็นอย่างไร?" ในสภาวะสังคมบริโภคนิยมในปัจจุบัน ความเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนของเด็ก และเยาวชนลดลงอย่างน่าใจหาย กลายเป็นชอบขอแล้วต้องเอาให้ได้ การมองเห็นครูเป็นเพียงผู้ประกอบอาชีพรับจ้างสอน มีหน้าที่สอนให้คะแนนแล้วก็จากไป ไม่มีความผูกพันกันแต่อย่างใด ถ้าเราไปจุกจิกจู้จี้มากเกินไปกลับกลายเป็นครูที่เด็กไม่ปลื้ม ผู้ปกครองก็ไม่ปลื้มด้วย

wai jabbในสังคมบริโภคนิยม อิทธิพลของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมีบทบาทต่อเด็กไทยมากมาย ชอบความสะดวกสบาย ง่ายและเร็ว หรูหรา ราคาแพง โดยไม่เคยมองความคุ้มค่าและจำเป็นทางเศรษฐกิจ เราจึงได้เห็นการแต่งตัวเลียนแบบและคลั่งไคล้ดาราต่างประเทศ ห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพง พกโทรศัพท์มือถือสุดหรู ที่มีฟังก์ชั่นเพียบสมบูรณ์แบบ ใช้จ่ายสบายมืออย่างฟุ่มเฟือยในขณะที่ตนเองไม่มีรายได้ (นอกจากการแบมือขอผู้ปกครอง และสุดท้ายอาจออกนอกลู่ทาง เพราะขอมาได้ไม่พอค่าใช้จ่าย)

การโฆษณาล่อใจอย่างการโทรฟรีทั้งวัน หรือทั้งคืน ล้วนแต่สร้างเงื่อนไขในทางลบให้กับสังคม ทำให้วัยรุ่นเยาวชนตกเป็นทาสของสื่อโฆษณา เราจึงได้เห็นการติดโฆษณาคุยในเรื่องไร้สาระได้อยู่ทั้งวัน วันหนึ่งผมเดินทางด้วยรถไฟฟ้า จากสถานีหมอชิตเพื่อไปยังสถานีเอกมัย มีวัยรุ่นอยู่คนหนึ่งพูดคุยน่าจะกับคนเพียงคนเดียวอย่างเมามัน และได้ยินเสียงตอบรับไปตลอดเวลาว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว (ก็สงสัยอยู่ว่า จะถามไปทำไม? รถไฟฟ้ามันก็ไปตามทางของมันเช่นนั้นมาหลายปี หรือเป็นเพียงเพื่อหาคำพูดทดแทนช่องว่างที่ยังนึกไม่ออก เพื่อให้มันเต็มเวลาที่ได้รับสิทธิในการโทรฟรีแบบบ้าเลือด)

ผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้มันสะท้อนไปยังวงกว้างของประเทศ การจราจรในด้านการสื่อสารติดขัด โทรไม่ติดเพราะสายไม่ว่าง ติดนิสัยในการใช้โทรศัพท์นาน ซึ่งผลกระทบลูกโซ่จะเกิดไปมากกว่านี้ เมื่อไม่มีโปรโมชั่นโทรฟรีก็จะพูดนาน นั่นหมายถึงเงินที่ต้องจ่ายมากขึ้น (สังเกตได้ตอนที่ลูกกลับบ้าน แล้วมาใช้โทรศัพท์บ้านมาราธอนข้ามคืน แบบมุดผ้าห่มนอนคุยเลยเชียว)

นี่ยังไม่รวมการถ่ายคลิปวีดิโอ มันกลายเป็นแฟชั่นและเด็กสมัยนี้กล้ามากขึ้นจริงๆ กล้าในทางที่ไม่สร้างสรรค์สังคมและทำลายตนเอง เราจึงได้ยินข่าวเรื่องคลิปฉาวต่างๆ มากมาย จากวัยรุ่น เลยไปยังวัยหนุ่มสาว ผ่านเฒ่าหัวงู อีกทั้งพระครูกับสีกา และเมื่อวันครูที่ผ่านมายังมีคลิป ผอ. กับครูสาว ให้ได้ปลงกันอีก ไม่เฉพาะแต่บ้านเรา แม้แต่ในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาก็มีปรากฏให้เห็น ถึงขั้นที่สำนักข่าว CNN นำมาเป็นหัวข้อวิเคราะห์ถ่ายทอดสดไปทั่วโลก

ก้าวเข้าสู่ปีใหม่มาหลายเพลาแล้ว มีเรื่องที่เราจะต้องร่วมกันแก้ปัญหาอีกมากมาย เพื่อให้ประเทศของเรามั่นคงอยู่รอดปลอดภัย คงจะไม่ใช่หน้าที่ของผู้ใดผู้หนึ่งที่จะช่วยกันทำให้สำเร็จ ผมขอเชิญชวนเพื่อน พี่น้อง แฟนๆ ของเว็บไซต์นี้ทุกท่าน ได้ร่วมมือกันกระทำความดีในหน้าที่แห่งตนให้ประสบผลสำเร็จ เพื่อร่วมในการเฉลิมฉลอง พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ที่จะถึงนี้

ขอให้ความดี ความเจริญ และความสุข จงสถิตแด่ท่านทุกคนเทอญ

ครูมนตรี โคตรคันทา
บันทึกไว้เมื่อ : 18 มกราคม 2550

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

Our Policy