|
ว่าจะไม่เขียนอะไรเกี่ยวกับการศึกษาสักครึ่งปี ก็อดไม่ได้อยู่ดี กับเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ กับกระทรวงที่ได้ชื่อว่า "พัฒนาคน พัฒนาชาติ" แต่ก็ไปได้ไม่ถึงไหนสักที กี่รัฐมนตรี กี่เจ้ากระทรวง ทั้งที่มาจากหมอ จากทหาร จากครูเก่า ก็ล้วนแต่มีนโยบายจะพัฒนาการศึกษาก้าวข้ามความเหลื่อมล้ำ แต่ก็ทำแค่ปรับปรุงเก้าอี้นั่งของข้าราชการในกระทรวง ตั้งโน่น ยุบนี่ เกาไม่ถูกที่คันเลย เพราะที่ท่านทำไม่ได้มีส่วนให้เกิดการพัฒนาการศึกษา มีแต่เกิดพรรคพวก เกิดการแบ่งแยกและโยนงานกันไปมา คนรับกรรมคือ นักเรียน และครูน้อยๆ ในโรงเรียนทั้งสิ้น
แทนที่จะกระจายอำนาจทางการศึกษาลงไปยังหน่วยเล็กๆ ในโรงเรียน พวกท่านกลับไปทำการแบ่งงานการ สั่งจากบนลงล่าง ข้ามสายงานบังคับบัญชา ให้มันเกิดคอขวดเล่นๆ ซะงั้น มีการติติงเรื่องความล่าช้าในการทำงานทีไร ท่านก็อ้างว่าไม่มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ สั่งให้กรอกข้อมูลพื้นฐานกันใหญ่ (คือกรอกกันทุกเริ่มปีการศึกษากับข้อมูลเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ ยังกับที่ดิน หรืออาคารมันจะงอกขึ้นได้เอง มันก็มาจากงบประมาณที่พวกท่านจัดสรรลงมา ตั้งงบประมาณกันเอง แล้วไม่มีข้อมูลกันหรือไร ถึงต้องให้โรงเรียนกรอกซ้ำๆ อยู่นั่น) เพื่อให้ได้ Big Data จนหาอะไรไม่เจอ เป็นงงจริงๆ
เมื่อวาน (17 สิงหาคม 2562) ได้โพสต์ลงใน Facebook Fanpage Krumontree ด้วยเรื่อง น่าสนใจของารจัดกิจกรรมการเรียนทางวิชาการ ของโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ให้กับเด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนในการศึกษาต่อในอนาคต ซึ่งแต่เดิมนั้นเรามักจะคุ้นเคยกับการแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม หรือ 3 สาย คือ สายวิทย์-คณิต (เน้นการเรียนทางด้านคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์) สายศิลป์ (เน้นการเรียนทางด้านภาษาศาสตร์) และสายลูกครึ่ง ศิลป์-คำนวณ (เรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์บ้างแต่ไม่มากเท่าสายแรก และเรียนทางด้านภาษาอีกครึ่งแต่ไม่เท่าสายที่สอง) ซึ่งผลปรากฏว่า เมื่อไปสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว หลายคนเพิ่งมาทราบว่ามันไม่ใช่ทางของตนเอง หรือรู้ตัวตอนที่จะเลือกคณะที่ชอบแต่ดันเรียนมาผิดสาย มีคะแนนในกลุ่มวิชาในคณะที่ต้องการมาไม่เพียงพอตามเกณฑ์ที่กำหนด จึงเกิดมีการทิ้งที่นั่งในมหาวิทยาลัย (ซิ่ว) มาสอบใหม่ในปีต่อไป หรือบ้างก็ทนเรียนไปแบบจำยอมจนจบในสาขานั้นด้วยความรู้สึกอึดอัดขัดข้อง ล้มเหลวไปก็มี
เมื่อผมอ่านบทความจาก "เว็บไซต์เด็กดี" ที่ไปสัมภาษณ์ทั้งผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้รับผิดชอบในการสอน และนักเรียนที่เลือกเรียนตามโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีและน่าจะนำมาต่อยอดในโรงเรียนทุกแห่งในประเทศไทย ก็มีผู้มาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้พอสมควร มีการแชร์ออกไปบ้าง เพื่อเป็นการขยายความในเรื่องนี้อีกครั้ง ผมจึงขอนำมาขยายประเด็นต่อ เพื่อช่วยกันคิดรูปแบบที่เหมาะสมนำไปใช้ในบริบทของโรงเรียนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ และโรงเรียนขนาดเล็กในต่างอำเภอ ต่างตำบล เอาไปขยายต่อยอดกันอีกที
ดราม่าการศึกษาไทยวันนี้เกิดจากความไม่เข้าใจในเนื้อหา และอคติทางการเมืองที่เป็นประเด็นที่ไม่ถูกใจฉัน ฉันต้องค้าน ต้องถล่ม ติติง สร้างความเข้าใจผิด เพื่อให้ได้ใจสาวกให้ปลื้มปริ่ม ปรบมือ กรีดร้อง กับวาทะคนรุ่นใหม่ค้นหาจากกูเกิ้ลได้ แต่... ถามจริงๆ เหอะวาทกรรมที่พบเห็นในโลกออนไลน์ กลับเป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยศึกษาค้นคว้าจากที่ใดๆ เลย กูก้งกูเกิ้ล เป็นแค่วาทกรรมเท่ๆ ที่เอาไว้หลอกสาวกเท่านั้นเอง
คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แถลงหนุนกระทรวงศึกษาธิการสอนเด็กไทยได้เรียน 3 ภาษา พร้อมหนุนให้มีการเรียนการสอนภาษาคอมพิวเตอร์ เชื่อสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ "
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ "เด็กไทยได้เรียน 3 ภาษา พร้อมหนุนให้มีการเรียนการสอนภาษาคอมพิวเตอร์" 2 ภาษาแรกคงพอเข้าใจกันได้คือ ภาษาไทยของบรรพบุรุษของเราเอง และภาษาสื่อสารสากลคือภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาที่สามนี่แหละประเด็น "ภาษาคอมพิวเตอร์" พอได้ยินเข้าหูปุ๊บก็ฟันธงปั๊บว่า "นั่นไงต้องมีการจัดสรรงบประมาณมาซื้อคอมพิวเตอร์อีกหลายหมื่นล้าน วางแผนโกงกินกันอีกแน่ๆ แล้วจะมีครูที่ไหนมาสอน? บลาๆๆๆ..." เดี๋ยวๆ ฟังก่อนเพ่...!!!
ข่าวที่น่าสงสารจับใจ... โกงกันได้แม้แต่ "อาหารกลางวัน" เด็กๆ ผู้ใหญ่กินกันจนพุงการ ไม่ละอายกันสักนิด คิดแล้วอนาถนักประเทศไทย เป็นข่าวไม่เว้นในแต่ละวันทีเดียวในช่วงนี้ เป็นในหลายที่หลายจังหวัด ในหลายสังกัดด้วย แต่ที่มีข่าวมากหน่อยกลับเป็นสังกัด อปท. (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ที่น่าจะเกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องที่ช่วยกำกับดูแล และมีส่วนร่วมในการดำเนินการก็ชื่อมันเป็นอย่างนั้น แต่... ในความเป็นจริงกลับเป็นองค์กรที่ได้ชื่อว่างุบงิบกันมากที่สุด (ไม่ใช่ว่าไม่มีดีนะ มีเหมือนกันแต่น่าจะเป็นข้อยกเว้นในไม่กี่พื้นที่ เพราะส่วนใหญ่การได้มาของฝ่ายบริหารองค์กรนั้นได้ชื่อว่า มาจากอิทธิพลในท้องถิ่น การซื้อเสียงมาแต่ต้นจนต้องมาถอนทุนทีหลัง ในสถานศึกษาก็ไม่เว้นเช่นเดียวกัน)
หนูก็อยากมีอาหารกลางวันที่อิ่มอร่อยทุกมื้อ อย่าโกงเอาค่าอาหารหนูไปเลย...
ตั้งแต่ขนมจีนคลุกน้ำปลาที่พ่นพิษถึงกับผู้บริหารโดนไล่ออกจากราชการ มาจนถึงแกงจืดฟักวิญญาณไก่ และอื่นๆ อีกมากในช่วงนี้ ลองถามเพื่อนกู (Google) ดูซิครับคงพบไม่ต่ำกว่า 10 ข่าวทั้งในหนังสือพิมพ์ ข่าวโทรทัศน์ และในสื่อสังคมออนไลน์ มันสะท้อนถึงอะไรกันครับ ยิ่งในช่วงต้นเทอมที่ผ่านมามีการตีฆ้อง ร้องป่าว ให้ทุกโรงเรียนสอนจัดทำหลักสูตรยิ่งใหญ่ๆๆๆๆๆๆๆ ชื่อ "หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education)" แล้วนี่คือบทพิสูจน์ของการใช้หลักสูตรหรือ?
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)