foto1
ความงดงามการศึกษาไทย
foto1
เพื่อ?
foto1
ไม่เข้าใจ?
foto1
วิทยากรที่กระทรวงศึกษาธิการ สปป.ลาว
foto1
ท่องทะเลทรายที่ดูไบ UAE


Friendly Links

เรียนรู้ภาษา html
isangate banner
easyhome banner
ipst banner
sakdibhornssup foundation
13 Thai free fonts
speedtest
e mil

Facebook Likebox

No. of Page View

education revolution

nextถึงวันนี้คงจะปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า ระบบการศึกษาของประเทศไทยนั้น ล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน (ในกลุ่มอาเซียน) ไปแล้วหลายขุม แม้เราจะเคยภาคภูมิใจมากมายว่าเคยก้าวหน้ากว่าใคร แต่วันนี้พิสูจน์ได้แล้วว่า เราไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าเลยแม่แต่น้อย ยืนย่ำอยู่กับที่มาหลายปีแล้ว ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียตนามนั้นก้าวไปไกลกว่าเรามากทีเดียว เพื่อนบ้านอย่างลาว กัมพูชา พม่า ก็กำลังก้าวไล่หลังเรามาติดๆ บางเรื่องเขาอาจจะแซงหน้าเราไปด้วยซ้ำ เช่น เรื่องภาษาในการสื่อสาร ประเทศเหล่านี้ล้วนมีภาษาที่สอง ที่สามกันแล้วในชีวิตประจำวัน แต่ของเรามีแค่ภาษาเดียวเท่านั้น คือภาษาไทย (ทั้งกลางและภาษาถิ่น) การสอนภาษาต่างประเทศที่สองของเรานั้น เน้นไปที่หลักไวยากรณ์ที่ยุ่งยากมากมาย จนเราใช้ไม่เป็น ใช้ไม่ได้ในสถานการณ์จริง แต่ประเทศอื่นเขาเน้นที่ภาษาของการสื่อสารเป็นหลัก ให้สามารถฟัง พูดได้คล่องแคล่ว การอ่านการเขียนเป็นเรื่องรองลงมา เพราะถือว่าเมื่อสื่อสารในการพูดคุยได้แล้ว การอ่านและเขียนจะตามมา ซึ่งไปคนละทางกับเราแล้ว

การ ปฏิวัติการศึกษาวันนี้ เราคงจะแก้ที่ระบบใหญ่ได้ยากเพราะถูกควบคุมโดยฝ่ายการเมืองที่ปรับเปลี่ยน นโยบายวิธีคิดไปเรื่อยๆ ตามการเปลี่ยนเจ้ากระทรวง เพราะสภาการศึกษา ข้าราชการระดับใหญ่ๆ ในกระทรวงศึกษาเป็นสนต้องลมตามการเมืองเพื่อความอยู่รอดในตำแหน่งหน้าที่ การหาเสียงของฝ่ายการเมืองเรื่องนโยบายการศึกษาก็เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปวันๆ และมักจะผูกพันกับการใช้งบประมาณขนาดใหญ่ ที่เอาเข้าจริงมันก็แก้ไขปัญหาการศึกษาของชาติไม่ได้ สุดท้ายกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นก็โยนขี้ (ภ่าระ) มาลงที่ครูผู้สอนในระบบโรงเรียนว่าด้อยหรือขาดคุณภาพ ดังนั้นเราจึงต้องมาเริ่มแก้ (ปฏิวัติ) กันที่ตัวครู ผู้ปกครองและนักเรียนที่ยังจมอยู่ในปัญหานี่แหละ จึงจะเห็นผลในระยะยาว รอให้เหล่านักกินบ้านกินเมืองรุ่นนี้ล้มหายตายจากไป

การปฏิวัติการศึกษาจะเริ่มที่ตัวครู นักเรียน และผู้ปกครองอย่างไร?

1. เริ่มต้นที่ตนเองก่อน

teacher 05การปฏิวัตินี้จะต้องเริ่มที่ตนเองก่อน ทั้งครู นักเรียน และผู้ปกครอง ด้วยความซื่อสัตย์ กระบวนการเรียนการสอนของครูจะเริ่มที่ความซื่อตรง ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เช่น การแนะนำให้นักเรียนซื่อตรงต่อตนเองก่อนโดยการกำหนดมาตรฐานของการเรียนขั้น พื้นฐานคือศึกษาด้วยตนเองให้มาก (อ่านมาก ศึกษาจากแหล่งความรู้อื่นๆ ให้มาก) ไม่ลอก (การบ้าน แบบฝึกหัด การสอบ) พยายามทำให้ได้ด้วยตนเอง เอาชนะตนเอง ไม่แข่งขันกับคนอื่น ตัวครูต้องแสดงบทบาทนี้ด้วยการกำหนดมาตรฐานการสอนของตนเองด้วยเช่นกัน ประพฤติปฏิบัติสม่ำเสมอ ซื่อตรงต่อตนเองและวิชาชีพ ในขณะเดียวกันในการพบปะผู้ปกครองของนักเรียน ก็ต้องชี้ประเด็นให้เห็นถึงประโยชน์ของการซื่อสัตย์ต่อตนเอง เชื่อมั่นในตัวลูกที่มุ่งจะเรียนรู้ด้วยตนเอง แม้ผลการเรียนที่ได้จะไม่เท่ากับคนอื่นๆ ก็ต้องเสริมเติมพลังใจให้ลูกมีพลัง ในการเรียนรู้มากขึ้น อย่าซ้ำเติมและตีโพยตีพายกับลูก

พยายาม ชี้ให้นักเรียนเห็นว่า ในโลกนี้ มีทั้งคนที่ประสบผลสำเร็จด้วยพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิด และมีอีกมายมายนับพัน นับหมื่นคนที่ประสบผลสำเร็จเพราะความขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อ ด้วยการซื่อสัตย์ต่อตนเอง พยายามจนสุดความสามารถ แม้เกรดจะต่ำเตี้ยก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิต ตัวอย่างมีมากมายในสังคม

learning

ขอบคุณเจ้าของภาพนี้อย่างยิ่ง แม้จะทำเอาขำๆ แต่มันก็จริงมิใช่น้อย

ถ้า สามารถเอาชนะตนเอง มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ก็จะเป็นพลังขับเคลื่อนกลไกของสังคม ให้มีความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นดุจเดียวกัน ประเทศไทยยุคใหม่ก็จะค่อยๆ ลดประชากรขี้โกง คอรัปชั่น ให้หดหมดหายไปในที่สุด

2. การประพฤติตนตามหลักศาสนา มีคุณธรรมจริยธรรม

thai children 01ความเชื่อของผมคือ เชื่อมั่นว่า "ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีความซื่อสัตย์ และมุ่งมั่นทำความดี" ที่มีสงครามศาสนาเกิดขึ้นเพราะมีคนไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง พยายามจะโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จึงมีผลกระทบเป็นวงกว้าง ต่อผู้อื่นที่นับถือศาสนาหรือศาสดาไม่เหมือนตน ในประเทศไทยเราก็เห็นอยู่แล้วว่า คนที่นับถือศาสนาแตกต่างกันก็ยังอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลเมื่อยามเดือดร้อนเกิดภัยพิบัติต่างๆ

คุณครู ที่นับถือศาสนาใดๆ ก็ตาม เมื่อเราต้องสอนในโรงเรียนที่มีนักเรียนต่างศาสนากันก็ขอให้สอนให้พวกเขา เหล่านั้นได้กระทำความดี ตามหลักศาสนาของตน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นแม้จะต่างชาติ ศาสนากันก็ตาม

3. ตรงต่อเวลา

ปัญหาใหญ่ของคนไทยเลยคือเรื่อง ตรงต่อเวลา หากจะให้ประเทศเราก้าวหน้าทำกิจการใดให้ประสบผลสำเร็จ เรื่องของเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เรามักจะทอดทิ้งเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ "เออนะเขาคงรอได้ รอเดี๋ยวนะ" คำพูดเหล่านี้จะต้องหมดไปจากชีวิตประจำวันของตน ถ้ายึดข้อหนึ่งได้เป็นที่ตั้ง การตรงต่อเวลานัดหมายก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

thai children 06สังคมไทยเป็นสังคมที่เข้าใจยาก คนที่มีตำแหน่งสูง เป็นใหญ่ บางคนมักจะคิดด้วยความยโสโอหัง สร้างความสำคัญให้กับตนเอง ด้วยการกินเวลาของคนอื่นให้เสียเปล่า เช่น นัดประชุม 9 โมง ผู้ร่วมประชุมมารอกันพร้อมพรั่งตั้งแต่ 8 โมง 45 นาที แต่ท่านประธานมาเอาตอน 9 โมงครึ่งหรือ 10 โมง ท่านคนเดียวหายใจทิ้งไปครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง แต่คนที่เขามารอท่านนั้นหายใจทิ้งไปมากกว่า และมีจำนวนมากด้วยถ้าคูณกันเข้าไปในแต่ละครั้งเราเสียเวลาทิ้งมากกว่า 50 หรือ 100 ชั่วโมง ตามจำนวนคนที่รอ ถ้าการทำงานของแต่ละคนนั้นมีค่าชั่วโมงละ  100 บาท ในแต่ละครั้งเราสูญเสียทรัพยากรไปมากเพียงใด

ดัง นั้น เราต้องสร้างเยาวชนพันธุ์ใหม่ ที่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องเวลาเป็นอันดับต้นๆ การพัฒนาประเทศจึงจะสามารถเดินหน้าไปได้ดังที่เราต้องการ เราก็จะไม่เห็นนักเรียนมาสาย ไม่ตรงเวลา ผลดีอื่นๆ จะตามมาให้เราเห็นและชื่นใจแน่นอน

4. มีจิตอาสาและเสียสละ

ปัจจุบัน สังคมไทยเริ่มเปลี่ยนไปมาก มีความเร่งรีบเป็นตัวบังคับ หลงใหลในวัตถุนิยมจนคุณค่าของจิตใจเสื่อมถอยลง ความต้องการทางวัตถุมีมากขึ้นจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่แพร่หลายและ เข้าถึงอย่างรวดเร็ว มีผลกระทบในวงกว้าง สังคมเมืองเป็นอย่างไร? บ้านนอกบ้านนาก็อยากเป็นอย่างนั้น เมื่ออยากเป็น อยากได้ ก็คิ้นรนขวานขวายใฝ่หาให้ได้ในทุกวิถีทาง สุดท้ายนั่นคือต้นตอของปัญหาคอรัปชั่นระดับชาติ ซึ่งเป็นปัญหาฝังรากลึกมาเนิ่นนาน วันนี้เราต้องแก้ไขให้เยาวชนคนพันธุ์ใหม่ของเรามีจิตอาสาและเสียสละ

thai children 02การเรียนในห้องเรียนเมื่อเราได้ฝึกเขาให้ซื่อตรง ยึดมั่นในหลักศาสนา ตรงต่อเวลาได้แล้ว การฝึกให้เขาได้เสียสละก็เป็นอีกหนทางหนึ่งด้วยวิธีการง่ายๆ เช่น กำหนดให้นักเรียนได้มีกลุ่มสนใจในกิจกรรมหารายได้เพื่อช่วยเหลือสังคม กลุ่มบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ พี่ช่วยน้องสอนหนังสือ เป็นต้น

หัวใจ สำคัญของการมีจิตสาธารณะ และเสียสละ คือการสร้างความสุขในการเรียน ถ้าเราหยุดคิดสักนิดในเรื่องการเรียนรู้ของนักเรียน ให้เขาเรียนตามความสามารถของเขาเอง ไม่แข่งขันใคร แต่แข่งขันกับตนเองให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ก็เชื่อเขาจะเป็นพลเมืองดีของชาติ แม้ผลการเรียนที่ได้ของเขาไม่เลิศหรู ไม่ได้เกียรตินิยม แต่เขาน่าจะได้งานที่ดี เพราะบริษัท/ห้างร้านส่วนใหญ่ ต้องการคนที่มีความซื่อสัตย์เข้าไปทำงาน ส่วนความรู้นั้น สอนและเรียนรู้ในระหว่างการทำงานได้ (จริงๆ เรื่องที่เรียนตามหลักสูตร ก็มักจะไม่ได้นำมาใช้ในการทำงานสักเท่าไหร่หรอกนะ) ส่วนความซื่อสัตย์ คนดี มีจิตสาธารณะนั้นมันมาสอนกันทีหลังลำบากเพราะมันมักจะฝังในสันดานมาแล้ว

การปฏิวัติการศึกษาจะต้องสนองตอบต่อ การพัฒนาชาติ และ การแก้ปัญหาคอรัปชั่นของชาติ จึงต้องเริ่มจาก การพัฒนาคนด้วยการศึกษาองค์รวม (Holistic Education) โดยให้มี ปัญญาดี (Good Head)และจะต้องมี จิตใจดี (Good Heart) เพื่อนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้า ควบคู่กับคุณธรรมความดีงาม ให้เกิดต่อตนเอง ครอบครัว องค์กรที่ทำงาน ชุมชนสังคมและประเทศชาติ เป็นการช่วยกันแก้ปัญหาการคอรัปชั่นที่เป็นปัญหาเรื้อรัง และฝังรากลึกในทุกวงการมาอย่างยาวนาน ซึ่งบั่นทอนขีดความสามารถและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศชาติ  และด้วยระบบการศึกษาแบบองค์รวมที่ผสมผสานความแข็งแกร่งทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม จะทำให้นักเรียนเติบโตเป็นผู้นำที่ดี...ที่ประเทศชาติ และโลกต้องการ   ผู้นำหมายถึงเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นทำตามได้  ไม่ใช่เก่ง แล้วเอาเปรียบคนอื่น หรือ เก่งแล้วไปโกงคนอื่น

thai children 05ในวันนี้ ผมอยากจะให้ทุกท่านเลิกบ้าการประเมินมนุษย์แบบอุตสาหกรรมไปเสีย ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบของสำนักไหน หรือมาตรฐานของค่ายใด ในปัจจุบันนี้ ไม่มีการวัดการพัฒนาทักษะความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่เลย มนุษย์มีต้นทุนไม่เหมือนกันครับ แม้จะผ่านเบ้าหลอม (โรงเรียน) เดียวกัน ผลที่ได้ ก็หาได้เป็นกล่องสี่เหลี่ยมด้านเท่าทุกกล่อง แบบที่โรงงานอุตสาหกรรมหลอมแผ่นเหล็ก อลูมิเนียม บีบอัดผ่านโมลออกมาเป็นสินค้าที่เหมือนกันทุกชิ้น

เรา มาวัดกันที่พฤติกรรม ความดี ความซื่อสัตย์ ของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่พึงจะเปลี่ยนแปลง และพัฒนาไปตามการอบรมและสั่งสอน จะดีขึ้นหรือยอดเยี่ยมเพียงใด ก็อยู่ในมาตรฐานการเรียนของมนุษย์ที่ควรจะเป็นได้กันดีกว่า ผมเชื่อเช่นนั้น...

การ ปฏิวัติการศึกษาไทยจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้เลย หากรอการสั่งการจากเบื้องบนที่บทบางทางวิชาการอยู่ภายใต้กรอบอำนาจของนักการ เมือง ผมยังอยากเห็นสภาการศึกษาเป็นองค์กรอิสระที่กำหนดแนวนโยบายการศึกษาแบบระยะ ยาว เช่นเดียวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่แม้จะเปลี่ยนนักการเมืองหรือเสนาบดีเจ้ากระทรวงไปกี่คน กระบวนการปฏิวัติต้องไม่มีวันสะดุดหยุดลงเป็นไปตามแผนงานอย่างแท้จริง เพราะการสร้างคน สร้างชาติ ต้องใช้เวลานานนับสิบปี ไม่อาจทำได้เพียงในสมัยรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ที่ทำอะไรเพื่อหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งสมัยหน้า หรือเป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ประชาชนโง่เง่าจะได้จูงไปทางไหนก็ได้อย่างวัวควาย...

ขอ ให้เพื่อนครูมีพลังใจในการต่อสู้เพื่อประเทศของเราในวันข้างหน้าด้วยเถิด ครับ มาดื้อเงียบทำไปแบบไม่ต้องรีรออีกต่อไป อีกสิบปีคุณจะชื่นใจในดอกผลของการหว่านความคิดนี้ลงสู่เด็กและเยาวชน "โตไปไม่โกง จะสอนอย่างไร ในเมื่อบ้านเมืองนี้เห็นการโกงอยู่ดาษดื่น" ช่วยกันคิดต่อนะครับ...

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

Our Policy