ประสบการณ์สาวไทยกับ United Airlines

วันนี้ขอนำเอาประสบการณ์ของสาวไทยคนหนึ่ง (ที่อยากแชร์ประสบการณ์… แต่ไม่ขอออกนามและโชว์ภาพส่วนตัว) ที่ได้ไปทำงานเป็นแอร์โฮสเทสของสายการบินใหญ่ในอเมริกา คือ United Airlines ที่เธอเล่าได้สนุกตั้งแต่ การสมัครทางออนไลน์ สัมภาษณ์ผ่านการบันทึกวีดิโอ ซึ่งมีหลายสายการบินใช้วิธีนี้กัน เพื่อให้ได้เห็นหน้าตาของผู้สมัคร และปฏิภาณไหวพริบในการตอบคำถามแบบทันท่วงที ก่อนที่จะพิจารณา Resume/CV ภาพถ่าย และไปสัมภาษณ์กันต่อหน้าอีกที ติดตามได้เลยครับ

ชีวิตนางฟ้าในอเมริกา – United Flight Attendant

สวัสดีค่ะ อยากมาเขียนบันทึกชีวิตตัวเองเล่นๆ เล่าประสบการณ์ให้ฟังค่ะ แต่ไม่ได้ยืนยันตัวตน เลยต้องตั้งเป็นกระทู้คำถาม… ใครอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ยินดีนะคะ เราเองก็ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับสายการบินอื่น อยากฟังเหมือนกันค่ะว่าต่างกันยังไง ^^

สมาชิกหมายเลข 5069227

เราได้งานเป็นแอร์ของสายการบิน United ค่ะ เราเรียนจบ ป.โทจากประเทศจีน แต่บ้านอยู่อเมริกา ถือสองสัญชาติค่ะ (แต่เป็นคนไทยตามสายเลือดพ่อ-แม่ ที่อพยพมาอยู่อเมริกา) พอกลับมาบ้านก็เริ่มหางานทำ ไม่รู้จะทำอะไรก็สมัครไปเรื่อยเปื่อย จนวันนึงไปกินข้าวกับเพื่อนที่เป็นแอร์ โดนนางปั่น กลับมาบ้านคืนนั้นเลยสมัครไปหลายสายการบินเลย 555 ทีบ้านอยากให้ทำราชการ แต่ส่วนตัวอยากทำบริษัท อยากเรียนเรื่องธุรกิจ การสมัครเป็นแอร์เลยไม่ได้คาดหวังอะไรมาก บวกกับตัวเล็กๆ เตี้ยๆ สูงแค่ 156 ซม. แม่ก็บอกว่า “เตี้ยแบบนี้ ใครเค้าจะเอา” 555 แต่ก็ลองดูค่ะ ไม่ได้ก็ไม่เสียหายอะไร ช่วงนั้นสมัครมันทุกอย่าง ทั้งงานรัฐ งานบริษัท งานแอร์ แต่วันนี้จะมาเล่าเรื่องงานแอร์นะคะ เริ่มตั้งแต่สมัครเลย…

สมัครแอร์

การสมัครก็ไม่ยากค่ะ อายุ 21 ปีขึ้นไป ถือสัญชาติอเมริกันหรือมีกรีนการ์ด เรียนจบมัธยมเป็นอย่างต่ำ แต่ถ้ายิ่งเรียนจบสูงและได้ภาษาอื่นก็เป็นโบนัสค่ะ

เราก็เข้าเว็บของแต่ละสายการบินแล้วก็ทำการสมัคร บวกกับฝากใบสมัครทิ้งไว้ตามเว็บไซต์หางานอื่นๆ ด้วย ตอนนั้นก็เข้าไปในเว็บไซต์ของ United และ Delta กรอกข้อมูลไป แล้วก็รอค่ะ…. ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็ได้รับอีเมล์ตอบกลับมาจาก Delta และ United ให้ทำสัมภาษณ์ผ่านวีดีโอ.. ก็งงๆ นิดนึงว่า “คืออะไร?” เพราะไม่เคยทำมาก่อน พอดีช่วงนั้นทำงานเสิร์ฟอยู่ร้านอาหารไทย ก็ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ เลยปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้สนใจ แต่เค้ามีเวลากำหนดมาค่ะว่า ต้องส่งภายในกี่วัน นี่ก็ไม่ได้หาเวลาทำ รอจนไฟลนก้นนาทีสุดท้าย ทีนี้ก็ตาแหก จัดการตั้งกล้อง หามุม หาแสง ทีแรกเข้าใจว่า “สัมภาษณ์สดผ่านวีดีโอ แต่ไม่ใช่ค่ะ ..”

Video Interview

เริ่มจากของ Delta ก่อนเลยค่ะ คือมันจะมีลิงค์มาให้ ต้องโหลดโปรแกรมของเค้า เพื่อทำการอัดวีดีโอโดยเฉพาะ ของ Delta นี่คือดีหน่อย ตรงที่เค้าให้อัดกี่ครั้งก็ได้ก่อนจะส่งอันไฟนอล เราก็อัดๆ ลบๆ อยู่ทั้งวัน เค้าจะมีคำถามขึ้นมา อ่านคำถามเสร็จเรายังมีเวลาคิดว่าจะตอบยังไง อัดผิดก็อัดใหม่ได้ แต่ทีนี้ด้วยความที่มึนและประมาท เราสมัครเป็นสองภาษา (อังกฤษ-จีน) ทีนี้ตอนท้ายๆ คำถามภาษาจีนมาในรูปแบบคลิปวีดีโอ เราก็นึกว่าจะกลับไปฟังได้หลายรอบก่อนตอบ ก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง สรุปฟังได้รอบเดียวแล้วให้ตอบเลย เราก็แบบ เอ้า!! ยังไง ฟังไม่ทัน เมื่อกี้ถามไรวะ!! เห้ยยยย! ซวยเลยทีนี้ ไม่รู้จะทำยังไง เข้าไปเสริชในเน็ตก็ไม่มีเลย พอดีต้องไปทำงาน เลยค้างเอาไว้ก่อน กลับจากทำงานตอนกลางคืน คือมันไม่มีทางเลือกแล้วอ่ะ เลยต้องตอบมั่วไป อันนี้ขอเตือนนะคะ “สำหรับใครที่สมัครแบบสองภาษา ตั้งใจฟังเน้ออออ อย่าพลาดแบบเรา”

หลังจากมึนๆ กับของ Delta ไป เราก็ทำของ United ต่อเลยค่ะ ทำตอนหลังเลิกงาน กลับมาบ้านหน้ามันๆ ปล่อยผมยาว ปากซีดๆ คือ “รีบทำ” เพราะมันใกล้เวลาที่ต้องส่งแล้ว กลัวไม่ว่างอีก เลยแบบ เอาวะ สัมภาษณ์มันทั้งยังงี้แหละ อยากให้มันเสร็จๆ จบๆ ไป… ของ United คำถามขึ้นมา แล้วมีเวลา 30 วินาทีให้คิด แล้วมันเริ่มอัดเอง อันนี้กดดันเบาๆ แบบเห้ยยยยย ถามไรยังไม่เข้าใจเลย จะตอบไรวะเนี่ย แต่พอ 3 .. 2.. 1.. คำตอบมันต้องมาแล้วอ่ะ นี่ก็แถจนเยิน 55

เคล็ดลับนะคะ … ก่อนจะทำวีดีโอสัมภาษณ์ ให้ไปหาข้อมูลก่อนเยอะๆ ของ United นี่คำถามมีในเน็ตเพียบบบ… เราจะได้มีเวลาเตรียมตัว มีเวลาคิดคำตอบสวยๆ นี่ก็เป็นบทเรียนสำหรับเราที่ไม่รู้จักหาข้อมูล ไม่รู้จักเตรียมพร้อม เลยต้องมาทำอะไรลุ้นๆ แบบนี้ แต่คือช่วงนั้นมันยุ่งจริงๆ ใครเคยทำงานร้านอาหารที่นี่คงเข้าใจ (อันนี้ตัวอย่างลองอ่านดู)

หลังจากนั้นก็รอไปค่ะ ระหว่างรอเราก็เริ่มหาข้อมูลในเน็ต พอมาอ่านๆ ดู โอ้โห คือเพิ่งรู้ว่า การแข่งขันมันสูงมากกก… เพิ่งรู้ว่า video interview นี่เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เหมือนเป็นประตูแรก ทุกคนแต่งตัวเหมือนแอร์ ผมรวบตึง ปากต้องแดง ซึ่งตรงข้ามกับเราทุกอย่าง อ่านแล้วก็ใจแป้ว อารมณ์แบบว่า ซวยแล้วววววววว ทำไมชั้นไม่อ่านก่อนนนน แล้วจะได้งานมั้ยเนี่ยยยย แล้วคือทุกคนดูตื่นเต้นเวอร์ๆๆ หรือฝรั่งมันชอบเวอร์อยู่แล้วก็ไม่รู้ แค่ได้ video interview นี่ตื่นเต้น กังวลกันสุด คนมาโพสในกลุ่มเฟซบุ๊คกันทุกวัน ทำให้เราต้องมาเครียดตาม 555 ถ้าใครสนใจอยากหาข้อมูลเข้าไปอ่านใน Glassdoor นะคะ หรือไม่ก็ต้องเข้ากลุ่มในเฟซบุ๊คอะค่ะ ใครที่สนใจจริงๆ หลังไมค์มาได้ค่ะ

F2F Interview – face-to-face interview สัมภาษณ์ตัวต่อตัว

จากวันที่ส่งสัมภาษณ์วีดีโอไป จนถึงวันที่ได้รับเมลอันที่สองนี้ ใช้ระยะเวลาประมาณสองสัปดาห์ ซึ่งแต่ละคนก็ใช้เวลาไม่เท่ากัน บางคนไม่กี่วันก็รู้เรื่องแล้วว่าผ่านหรือไม่ผ่าน บางคนรอเป็นเดือนก็ยังนิ่ง ของเราโชคดีหน่อย สองสัปดาห์ถือว่า “ไม่นาน” ช่วงที่รอคำตอบเราก็ไปเที่ยวลั้นล้าหาเพื่อนต่างรัฐ ตื่นมาเจอเมลล์เรียกไปสัมภาษณ์ของ United นั่งกรี๊ดกันอยู่สองคน… เค้าจะมีวันที่ให้เลือกว่าจะไปวันไหน แล้วให้เราโทรไปนัดวัน แล้วเดี๋ยวเค้าจะส่งเมลล์มาคอนเฟิร์มอีกทีเรื่องวัน เวลา สถานที่.. ค่าตั๋วฟรี แต่เราต้องออกค่าโรงแรมที่พักเอง

ส่วน Delta โดนปฏิเสธค่ะ บอกให้สมัครใหม่ในอีก 6 เดือน.. คือถ้าพลาดจาก video interview ต้องรออีก 6 เดือนถึงจะสมัครได้ใหม่ แต่ก็แล้วแต่สายการบินนะคะ บางที่ได้ยินว่า 3 เดือนก็สมัครใหม่ได้ แต่ของ Delta, United นี่ต้องรอ 6 เดือน ตอนนั้นแอบเฟลเบาๆ แต่ไม่เป็นไร ได้ไปต่อของ United ก็ดีใจแล้วค่ะ

ระหว่างรอวันสัมภาษณ์ ก็วุ่นวายหาชุด หารองเท้า กระเป๋า คือเค้าบอกให้แต่งตัว Business Casual สำหรับวันเดินทาง เพราะมาในนามบริษัท ต้องแต่งตัวให้มันเรียบร้อย เดินทางก่อนวันสัมภาษณ์หนึ่งวัน เพราะของเราสัมภาษณ์รอบเช้าตอน 8 โมง วันสัมภาษณ์เราเลือกใส่เสื้อเชิ้ตขาวแขนยาว กางเกงสแลคสีดำ ใส่สูท แอบผูกผ้าพันคอไปด้วย ผมรวบตึงมัดเป็นมวย ปากแดง ตรงตามสเตปทุกอย่าง รอบนี้ศึกษามาดี ไม่มีพลาด 555

โรงแรมที่พักมีรถบัสไปส่งที่สถานที่ เลยไม่ต้องพะวงอะไรมาก ไปถึงเจอคนอื่นก็ทักทาย คือต้อง Friendly สุดๆๆๆ อันนี้ในเว็บเค้าบอกมาว่า “เราจะโดนจับตาอยู่ตลอดเวลา เพราะงั้นเราต้องเฟรนลี่ ต้องดูดีสุด” นี่ก็ยิ้มมมมม ทักมันไปทุกคน 555 แล้วคือเอาจริงๆ ทุกคนก็ Fake กันสุดอ่ะ ยิ้มแย้ม เป็นมิตรเวอร์ รู้สึกแอบอึดอัดนิดหน่อย… เข้าไปในห้องมีประมาณ 50 คนในรอบเช้า วันหนึ่งมีสองรอบ เช้ากับบ่าย คือคนสมัครเยอะมากกก… พอถึงเวลา เจ้าหน้าที่เค้าก็จะมาทักทายพูดคุย บอกหมดเลยว่าได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่ อะไรยังไง ใครมีคำถามให้โอกาสถาม ประมาณหนึ่งชั่วโมง เค้าก็เริ่มมาเรียกพวกเราไปทีละสองสามคน ขึ้นไปสัมภาษณ์ตัวต่อตัวที่ชั้นบน แยกไปคนละห้อง

พอถึงตาเราเข้าไป เค้าก็เริ่มคำถาม คือทุกอย่างเร็วมาก เอาจริงๆ ไม่มีเวลาคิดเท่าไหร่ แต่อันนี้แล้วแต่คนสัมภาษณ์ด้วย บางคนก็ใจดี บางคนก็จะเย็นชาหน่อยๆ เหมือนของเรา 555 นางอัดคำถามมารัวๆ ตอบเสร็จถามใหม่ คือทุกอย่างเร็วมากจริงๆ สัมภาษณ์ประมาณสิบนาที (ตามความรู้สึกนะ) เค้าก็ให้ไปรออีกห้อง เป็นห้องประชุมใหญ่ ซักพักก็มีเพื่อนคนอื่นเดินเข้ามาอีกสองสามคน ยังไม่ทันเม้ามอยอะไรเจ้าหน้าที่ก็มาเรียกตัวเราไปซะก่อน คราวนี้นางพามานั่งห้องเล็ก ซึ่งมีคนที่มาสมัครนั่งอยู่อีก 3 คน ก็นั่งรอเม้ามอยไป รอเค้ามาเรียกไปทีละคน คือมันเป็นอะไรที่แบบ… กดดันนิดๆ คือ “ไม่รู้อะไรเลย เค้าให้ไปนั่งรอตรงไหนก็ไป โดยไม่บอกซักคำว่า ขึ้นตอนต่อไปคืออะไร ตอนนี้คืออะไร คือทุกนาทีที่นั่งรู้สึกงงๆ หวั่นไหวตลอด ไอ้ที่พาไปนั่งห้องประชุมเมื่อกี้หมายความว่าอะไร ทุกวันนี้ยังไม่เข้าใจ…”

ผ่านไปพักใหญ่ๆๆ เค้าก็จะเรียกเราไปอีกห้องหนึ่งบอกว่าจะไปหา Supervisor ตอนนั้นยังงงๆ ว่ามาทำไม คือมันเป็นการสัมภาษณ์รอบสองค่ะ โดยที่เราไม่รู้ตัว รู้สึกว่าวันนี้งงมันทั้งวันอ่ะ 555 กลางคืนมัวแต่เครียด นอนไม่ค่อยหลับ พะวงจะตื่นสาย หลับๆ ตื่นๆ แล้วตื่นตั้งแต่เช้ามาแต่งตัว คือสมองมันจะเบลอๆ เค้าพาไปคุยกับ Supervisor แต่คุยแบบกันเองงงง คุยแบบฮาๆ คือนี่ก็ไม่รู้ไงว่าสัมภาษณ์ นึกว่าพามาทักทายเฉยๆ ไรงี้ เพราะคุยไม่ถึง 5 นาที ตอนนี้กลับมานึกดู อยากเขกหัวตัวเองมาก 555 เอาจริงๆ ตอนเข้าไปทักทาย Supervisor ผู้หญิง แล้วที่เหลือก็คุยกับผู้ชายอีกคน แทบไม่ได้คุยอะไรกับเจ้ผู้หญิงเลย เหมือนนางมานั่งฟังเฉยๆ อ่ะ มันเลยไม่ได้อารมณ์สัมภาษณ์ไง ก็นึกว่ามาทักทายเนอะ เลยทำตัวสบายๆ พูดจาฮาๆ รั่วๆ ตามประสาไป โอ้ยยยย บ้าบออออออ

เสร็จจาก Supervisor เค้าก็พาไปอีกห้อง เพราะเราสมัครแบบสองภาษา (อังกฤษ-จีน) เค้าก็ให้ไปทดสอบภาษา ไปถึงเจ้แกก็ยื่นหนังสือมาให้ เป็นการประกาศภาษาจีน ซึ่งมันเยอะมากกก.. เปิดดูแบบงงๆ แล้วแกก็มาบอกว่าเธอมีเวลา 8 นาทีนะ … คือไม่มีเวลาเตรียมตัว ทุกอย่างเร็วมากกกก ยังงงอยู่เลยว้อยยยยยย!! แล้วเค้าเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะ ยื่นหูฟังให้ ต่อสายให้คุยกับคนจีน เจ้คนจีนแกก็สุ่มๆ ในหนังสือเล่มเมื่อกี้ ให้อ่านข้อความภาษาจีน เราก็เงอะๆ งะๆ คือมันตื่นเต้น มันไม่ได้เตรียมตัว ก็คิดในใจ งานนี้ไม่น่าได้ …

หลังจากนั้นก็เป็นการสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ นางก็ยิงคำถามมารัวๆ แต่เป็นคำถามทั่วๆ ไปอะค่ะ คำถามแรกคือ ชอบกินอะไร เรานี่อึ้งกิมกี่ คิดในใจว่าแบบ …เห้ยยย กุฟังผิดป่าววะเนี่ย มันไม่น่าใช่อ๊ะ หรือมันเป็นศัพท์ยากที่เราไม่รู้วะ คือแอบอึ้งไปนิดนึง แล้วก็ลองแถๆ ดู ตอบไปว่าชอบกินทุกอย่าง สรุปใช่หว่ะ!! 55 นางก็ให้ยกตัวอย่างว่า มีอะไรบ้าง นี่ก็ร่ายยาวไป แต่มีหนึ่งคำถามเราตอบไม่ได้ ก็บอกไปตรงๆ นะว่าไม่รู้ ประมาณว่าใช้สำนวนสุภาษิตจีนอธิบายเรื่องอะไรซักอย่าง จำหัวข้อไม่ได้ แต่คือสุภาษิตจีนนี่เราไม่ได้จริงๆ เจ้แกก็ยกตัวอย่าง เราก็บอกตรงๆ นะว่าไม่รู้จริงๆ เจ้ก็ข้ามไปถามเรื่องอื่น คุยอยู่ประมาณ 20 นาทีก็เสร็จ ตอนนั้นคิดในใจ… ถือว่ามาเอาประสบการณ์เนอะ 555

ออกมาเจอเจ้าหน้าที่ผู้ชาย แกบอกว่า “ถึงจะไม่ผ่านทดสอบภาษา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้งานนะ” ก็คือยังพิจารณารับในฐานธรรมดา Non-bilingual ฟังแล้วก็รู้สึกว่า อ่ออออออ ตกภาษาแน่นอน แต่ยังมีสิทธิ์ได้งานอยู่ 5555 เออ ช่างแม่ม ก็ยังดีวะ!!

จากนั้นก็บอกให้เราไปนั่งรออีก เดินไปนั่งรอเห็นเพื่อนคนนึงนั่งน้ำตาคลอ เรายิ่งใจเสีย นางบอกสงสัยงานนี้ชวดแล้วหล่ะ เรายังไม่ทันปลอบใจ เจ้าหน้าที่ก็มาเรียกเราสองคน บอกให้เข้าไปในห้องพร้อมกัน ก็เดินไป อ้าว! Supervisor คนเมื่อกี้นี่นา ก็ยังงงๆ อยู่ว่าเพิ่งเจอเมื่อกี้ เรียกมาทำไมอีก แล้วเค้าก็บอกว่า ยินดีด้วยนะ คุณได้งานนี้!!!

ตอนนั้นก็ยังอึ้งๆ อยู่ คือนอนน้อย เครียดสะสม สมองไม่ทำงานนะเอาจริงๆ หิวด้วย ตอนนั้นเพื่อนคนนั้นก็หันมากอดเราแล้วร้องไห้ เราก็ยังยืนมึนๆ อยู่ แล้วถามซ้ำอีกทีว่า “ตกลงผ่านใช่มั้ยเนี่ย” เค้าก็หัวเราะกันใหญ่ บอกว่าผ่านแล้ววว ไปเทรนได้ แต่ยังไม่ให้บอกใคร เพราะคนอื่นบางคนต้องรอคำตอบทางอีเมล์ หรือทางโทรศัพท์หลายวัน เดี๋ยวคนอื่นจะเสียกำลังใจ ของเราเรียกว่าโชคดี ไม่ต้องมานั่งลุ้นนั่งหวั่นไหวรอคำตอบ คือรู้มันตรงนั้นเลย

อันนี้เรียก CJO = Conditional Job Offer คือผ่านการสัมภาษณ์ ได้ไปเทรนต่อ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้งานแล้วแน่นอนนะคะ เหมือนแค่เค้ายื่นเสนองานมาให้ แต่ยังไม่ถือว่าเป็นพนักงานจนกว่าจะผ่านเทรนค่ะ แต่ก็ดีใจที่ผ่านไปอีกขั้น

จากกลุ่มที่ไปสัมภาษณ์ 50 คนของวันนั้น มีประมาณ 5 คนที่ได้งานค่ะ การแข่งขันสูงจริงๆ แล้วคือแต่ละคนดูดี พูดจาดี ประวัติดี เรารู้สึกว่ามันเลือกยากมากจริงๆ อารมณ์เหมือนไปประกวดนางงาม 555 คือบางคนเป็นนักข่าวมาก่อน สูงยาวเข่าดี หน้าตาสวย มีความมั่นใจ พูดจาฉะฉาน ยังไม่ผ่านเลย อาจารย์ก็บอกว่าเค้าสมัครกันเป็นแสน รับแค่พันสองพันกว่า พวกเธอจงภูมิใจนะที่สามารถมานั่งตรงนี้ได้ จำไว้ว่าเก้าอี้แต่ละตัวในห้องนี้ มีคนเป็นร้อยคนที่อยากจะมานั่งแล้วไม่ได้มา รักษาตำแหน่งเก้าอี้นี้ไว้ให้ดีๆ ….

ก่อนไปเทรน

เค้าก็ส่งเมลล์มา ข้างในคือละเอียดมาก เยอะมากกกกกกก บอกทุกอย่างจริงๆ กำหนดวันเทรนของเราคือประมาณเดือนกว่าๆ ก็ทำงานเสิร์ฟกันต่อไป ระหว่างนี้เค้าจะส่งเว็บมาให้ กรอกข้อมูลประวัติการทำงานย้อนหลังสิบปี แล้วก็จะตรวจประวัติอาชญากรรม นี่ก็เป็นอะไรที่วุ่นวายมาก เดี๋ยวขอเอกสารนู้นเพิ่ม เดี๋ยวขอนี้เพิ่ม กว่าจะจบ เล่นเอาเครียดไปหลายวัน แล้วกฏของที่เทรนก็เยอะมากก… ห้ามนู่นห้ามนี่ เสื้อผ้าการแต่งตัวก็เยอะ ต้องมานั่งหาเสื้อผ้ารองเท้าใหม่อีก มีตารางมาให้เลยว่าวันไหนแต่งตัวยังไง บางวันเต็มยศ ใส่สูทผูกไทค์ ผู้หญิงผมต้องมัดเป็นมวย ใส่เจลไปเยอะๆ บางวันแต่งแบบธรรมดาได้ แต่ก็ข้อแม้เยอะเหลือเกิน อีกอย่างที่ต้องเตรียมคือ “พาสปอร์ต” ใครไม่มีก็ต้องรีบไปทำ ส่วนเรามีแล้ว แต่อายุไม่ถึง 30 เดือน ก็ต้องไปทำใหม่อีก เค้าสั่งให้ทำแบบด่วน แต่ด้วยความที่งก เห็นว่าเวลามีเป็นเดือนก็เลยทำแบบธรรมดาไป แล้วก็มานั่งหวั่นไหวอยู่ทุกวันว่าเมื่อไหร่จะได้ 555 แต่โชคดี ประมาณสองสัปดาห์ก็ได้แล้ว

Training 6.5 weeks

เรื่องเทรนนี่น่าจะยาววววว ของเราเทรนเดือนครึ่งค่ะ คือในหัว เราก็คิดว่า อ่อ ไปเทรน เค้าคงสอนเรื่องการบริการ โน่นนี่นั่น ก็ไม่น่ายากอะไร แต่ก่อนไปเทรนก็อ่านในเฟซบุ๊ค มีแต่คนบอกว่ามันยากมาก เราก็ยังคิดในใจ โธ่เอ้ยยยย มันจะอะไรขนาดนั้นน… สงสัยไม่เคยผ่านมหาลัย ไม่เคยผ่าน ป.โท สินะ เวอร์กันจริงๆ  แต่พอถึงเวลาเทรนจริงๆ โอ้ววว มายยยย ก้อดดดดดดด !!!

สัปดาห์แรกยังชิวๆ คือ เหมือนไปเรียนมหาลัยอ่ะค่ะ ตอนเช้ากินอาหารเช้าที่โรงแรม อ้อ ลืมบอกว่าเค้ามีโรงแรมให้เราอยู่ฟรีช่วงเทรนนะคะ แต่ต้องมีรูมเมท ห้องนึงจะมีสองคน ซึ่งมันก็ดีนะ เพราะเราจะได้มีเพื่อน คอยเช็คกันว่าทำการบ้านรึยัง ต้องทำอะไรบ้าง ช่วยเหลือกัน ที่โรงแรมมีอาหารเช้าให้ฟรี กินข้าวเช้าเสร็จ ก็ขึ้นรถบัสไปสถานที่เทรน เค้ามีตารางมาเลยว่าวันนี้รถบัสมารับกี่โมง ถึงเวลาปุ๊ป รถออกทันที ถ้ามาไม่ทันก็ต้องหาทางนั่งแท็กซี่ไปเอง กฏข้อแรกที่ต้องจำเลยก็คือ ตรงเวลา=เลท เราต้องมาก่อนเวลาเท่านั้น!!! เริ่มเรียน 8 โมงเช้า ก่อนถึงเวลาสองนาที ทุกคนต้องนั่งประจำที่เรียบร้อย สงบเสงี่ยม จะมัวชงกาแฟ เม้ามอยเสียงดัง ไปเข้าห้องน้ำไม่ได้ แล้วคือเค้าตรงเวลาจริงๆ ค่ะ สอน 8 โมงก็คือ 8 โมง …

มีพักเบรคทุกหนึ่งชั่วโมง ประมาณ 10 นาที ก็วิ่งกันแย่งเข้าห้องน้ำ ในห้องน้ำที่นี่มีอุปกรณ์เสริมสวยเยอะมาก มียาสีฟัน น้ำหอม น้ำยาล้างเล็บ สำลี คือหลายอย่างมาก ชอบค่ะ!! ใครไม่เข้าห้องน้ำ ในห้องมีชา กาแฟให้กินทั้งวัน ช่วงพักก็มาเติมได้เรื่อยๆ มีอาหารกลางวันให้ ตอนกลางวันเค้าจะเอารถใส่เครื่องดื่ม (Cart) เหมือนอันที่เสิร์ฟบนเครื่องบินมาให้เราใช้ เพราะเราต้องฝึกว่า ต้องเซทยังไง ฝึกบริการ เสิร์ฟเพื่อนในห้องก่อนนี่แหละ… วันนึงเรียนประมาณ 8 ชั่วโมง กลับไปยังต้องทำการบ้าน ต้องอ่านของวันพรุ่งนี้ล่วงหน้า เค้ามีตารางมาให้เลยค่ะว่าวันนี้ต้องอ่านอะไร มีการบ้านอะไร ซึ่งมันเยอะมากกกกกกกกกกก ขุ่นพระ!!! ตื่นก็เช้า กลับมากินข้าวเย็น ทำการบ้าน อ่านหนังสือ อาบน้ำ ยังไม่ทันเล่นเฟซเลย เอ้า! ได้เวลานอนแล้ว แล้วกฏที่นี่คือห้ามโทรศัพท์หรือส่งข้อความหลัง 5 ทุ่ม ต้องปิดไฟก่อนเที่ยงคืน

วันที่สอง เค้าแจก iPhone 8 Plus ให้คนละเครื่อง เอาไว้ทำงานโดยเฉพาะ ตอนเซ็ททีแรก เครื่องเรามันค้าง เค้าก็ไปเปลี่ยนอันใหม่ให้เลย ทีแรกก็ตื่นเต้นดีใจ ตอนหลังนี่แบบ…. เอ้ออออ คือมันเอาไว้ทำงานจริงๆ อะค่ะ โทรก็ไม่ได้ ส่งข้อความไม่ได้ รู้สึกว่า “มันคือภาระมากอ่ะ 555 แล้วโดนบังคับให้ใส่กรอบของบริษัท กรอบหนาๆ หนักไปอีก” มีอยู่วันนึงเราทำหล่นใส่เท้า ไม่รู้ไปลงอิท่าไหน เลือดสาดเลยจ้า เดินเขยกๆไปสองวัน โอ้ยยยยยยย อยากเขวี้ยงทิ้ง 555

วันต่อมาให้เลือก Base (สถานที่พักทำงานประจำ) ว่า เราจะไปประจำที่ไหน ตอนนั้นก็ตื่นเต้นไปอีก สรุปของเราได้ตัวเลือกแค่สองที่ คือ ชิคาโกกับบอสตั้น อยากจะร้อง คือไม่อยากได้ซักทีเลย มันหนาวววววววว ฮืออออ เค้าให้บิดเอา คือไม่ใช่ว่าทุกคนจะเลือกได้อย่างที่ต้องการ เราก็บิดชิคาโก้ไป เพราะได้บินต่างประเทศเยอะกว่า บอสตั้นเพิ่งเปิดใหม่ ส่วนใหญ่จะบินในประเทศ บิดเสร็จต้องรออีกวันผลถึงจะออก

วันผลออกนี่ก็ลุ้นไปอีกกกกกก อาจารย์ก็แกล้ง ลีลาไม่ยอมบอก สุดท้ายอาจารย์เรียกชื่อให้ยืนทีละคน คนที่ได้ยืนกลุ่มแรกคือคนที่ได้ไปชิคาโก้ ตอนนั้นเพื่อนถึงกับร้องไห้กันเลย เพราะบางคนไม่อยากไปบอสตั้นแต่ก็ต้องไป บางคนอยากไปบอสตั้น แต่ก็ไม่ได้ไป แล้วถ้าจะย้ายเบส ก็ต้องทำเรื่องไป ซึ่งก็แล้วแต่ดวง แล้วแต่จังหวะเวลาอีก บางคนรอตั้งหลายปีกว่าจะได้ย้ายไปที่อื่น แต่ที่แน่ๆ ภายใน 6 เดือนแรกห้ามย้ายไปไหนทั้งนั้น โชคดีที่เราได้ชิคาโก้ตามที่ต้องการ

สัปดาห์แรกยังชิวๆ พอเริ่มสัปดาห์สอง มีสอบแล้วจ้า แล้วคือจะบอกว่าเรียนทุกวัน ข้อมูลเยอะมากก… ทุกวัน ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง ศัพท์เฉพาะก็เยอะ คือเราไม่เข้าใจอ่ะ ตอนนั้นเริ่มเครียดแล้ว เพราะมันยากจริงๆ วีคแรกคือเรียนเรื่องเครื่องบินก่อนเลย ต้องรู้ทุกอย่างจริงๆ แล้วจากคนไม่เคยมีพื้นเรื่องเครื่องบิน มันยากมากสำหรับเรา คือทีแรกเข้าใจว่าเน้นเรื่อง “บริการ” มายก้อดดดดด เรียนแต่เรื่องเครื่องบิน ความปลอดภัย เอาจริงๆ หนึ่งเดือนเต็มๆ คือเรียนเรื่อง Safety ล้วนๆ เดี๋ยวจะมาลงรายละเอียดนะคะ

ขอย้อนกลับไปสัปดาห์แรกก่อน ช่วงนั้นเรื่องเรียนยังไม่เท่าไหร่ แต่มันเป็นช่วงปรับตัวสุด คืนแรกนี่แอบไปร้องไห้ในห้องน้ำ คิดถึงบ้าน แล้วคือรูมเมทก็เพิ่งเจอกันนึกออกมะ มันก็ยังไม่สนิท นิสัย การใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน คือจากคนแปลกหน้า อยู่ๆ ต้องมาอยู่ด้วยกัน ขอเม้าเมทหน่อย นางเป็นคนผิวดำ แต่มาจากนิวยอร์ค แล้วคือ เรามาจากฟลอริด้า คนแถวนั้นเหมือนคนต่างจังหวัดอ่ะค่ะ อัธยาศัยดี ไม่รู้จักกัน แต่เดินสวนกัน เปิดประตูผ่านกันนี่ต้องมีทักทาย ไปซื้อของต้องทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนคนจากนิวยอร์คจะเหมือนคนกรุงเทพฯ คือต่างคนต่างใช้ชีวิตไป เดินสวนกันก็สวนกัน เราก็แอบไม่ชินนิดนึง แล้วนางจะชอบหายตัวไปบ่อยๆ ช่วงแรกๆ เราก็งงว่าอะไรของมัน คือไปเรียนด้วยกัน แต่พอกลับโรงแรมมา หายตัวไปไหนไม่รู้

แล้วนางชอบไปเจ๊าะแจ๊ะคุยกับคนโน้นนี้ไปทั่ว เหมือนนางก็อยากหาเพื่อนอ่ะ แต่ทีแรกเรารู้สึกว่า เออ เราเป็นรูมเมทกัน เราก็น่าจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันสุดแล้ว ตอนหลังเลยรู้สึกว่า เอ่อ เป็นเมทก็ไม่จำเป็นต้องสนิทมั้ง หลังๆ เราเลยไม่แคร์ ต่างคนต่างเรียน กลับมาเธอจะไปไหนก็ไป ชั้นอยู่คนเดียวได้ อยากคุยก็คุย ไม่คุยก็แล้วแต่… แต่เอาจริงๆ มันต้องสตรองมากอ่ะ ตอนนั้นเรายังไม่สนิทกับใคร คือห้องเรามีทั้งหมด 82 คน แล้วเค้าแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอย่างละครึ่ง เป็น A กับ B เรียงลำดับอักษรของนามสกุล เราอยู่กลุ่ม A แล้วคือคนที่เราเคยคุยด้วยวันแรกๆ ดันไปอยู่กลุ่ม B หมด กับอิเมทก็ไม่สนิท เคว้งเลยทีนี้… โชคดีมีรุ่นพี่คนไทยไปเทรนด้วย พอว่างตรงกันก็นัดกินข้าวเม้ามอย ก็ได้คำแนะนำจากพี่ๆ เค้าเยอะเหมือนกัน ต้องขอบคุณพี่ทั้งสองด้วยนะคะที่คอยให้คำแนะนำตลอด… ตอนนั้นพี่เค้าก็เล่าว่าตัวเจ้แกเองก็มีปัญหากับเมท ถึงขนาดต้องขอเปลี่ยนคน หนักกว่าเราเยอะ ฟังแล้วก็แบบ .. เอ่อเว้ย ของเรานี่เบาไปเลย ช่างแม่มแล้วกัน

แล้วเจ้แกก็แนะนำว่าต้องหาเพื่อนนะ แต่คือช่วงนั้นคนมันเยอะมากอ่ะค่ะ แล้วมันเฟคกันสุด ดีไปหมดดดดดดดด แหมมมมม จนเรารู้สึกว่าขออยู่ห่างๆ สังเกตการณ์ก่อนแล้วกัน ตอนนั้นแอบคิดนะว่า “ที่เรามานี่มันใช่สำหรับเราแล้วหรอวะ มันไม่เหมือนอย่างที่คิดเลย” แต่มันถอยไม่ได้แล้วไง ก็ได้แต่เดินหน้าลุยต่อไป… แต่หลังๆ เราไปสนิทกับเพื่อนคนฟิลิปปินส์ แล้วก็มีเพื่อนมากขึ้น กับเมทก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น หลังจากนางมาสารภาพว่า ที่ชอบหายตัวไปเป็นเพราะนางสูบบุหรี่ กลัวเรามองไม่ดีเลยไม่กล้าบอก ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ เอ้อออออออออ เมทลูกกกกกกก คือเอ็งจะสูบบุหรี่จะทำอะไรก็เรื่องของเอ็งป่าววะ โตๆ กันแล้ว บ้าบอมากกกกก ทำเราประสาทเสียไปเป็นอาทิตย์ พอนางเริ่มเปิดใจเราก็เริ่มคุยกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น เริ่มมีกลุ่มเพื่อนของเรา มันก็เริ่มสนุกแล้วค่ะ

ที่นี่เค้ามีคนคละๆ กันไป ส่วนใหญ่จะผิวขาวกับดำ มีแก๊งพูดสแปนิชอยู่สิบกว่าคนได้ คนเอเชียน้อยมาก กลุ่ม A มีเอเชียอยู่แค่สามคน… แต่ละรุ่นก็จะมีรหัสรุ่น เช่น กลุ่มแรกคือ 1809 สัปดาห์ต่อมาก็จะมีรุ่นใหม่มาคือ 1810 ไล่ไปเรื่อยๆ มีมาใหม่ทุกสัปดาห์ แต่ปิดรับสมัครเมื่อไหร่ไม่รู้นะคะ แต่ละรุ่นก็จะมีประมาณ 80 กว่าคน อายุก็คละๆ กันไป รุ่นเราเด็กสุดคือ 21 ส่วนใหญ่จะ 23-28 ถือว่ามีแต่เด็กๆ เยอะมากกกกกกก แก่สุดคือ 45 แต่คือรุ่น 40+ นี่มีแค่สองสามคนเอง คือมีแต่เด็กๆ หน้าตาดีๆ กันทั้งนั้นด้วยนะ แต่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง ผู้ชายจะน้อยแล้วส่วนมากจะเป็นเกย์ กลุ่ม A มีผู้ชายแท้ๆ อยู่สองคน หล่อด้วยนะเออ อิอิ

กลุ่ม A กับ B จะถูกแยกกัน เอาจริงๆ แทบไม่เคยเจอกันเลย เรียนคนละห้อง บางทีก็คนละเวลา ทำให้เราไม่สนิทกัน ทุกวันนี้เรายังจำชื่อคนห้อง B ไม่ได้เลย นานๆ ทีจะมาเรียนด้วยกัน พอเรียนด้วยกันก็มาดราม่าใส่กันอีก ห้อง B จะชอบเบ่งว่าเก่งกว่า ดีกว่า รักกันเหนียวแน่นกว่าไรงี้ จากที่เฉยๆ ก็กลายเป็นไม่ชอบกันซะงั้น ดราม่า AB ไปอีกกกก เดี๋ยวเรื่องดราม่านี่จะมาเล่าให้ฟังทีหลังนะคะ

กลับมาที่เรื่องเรียน สัปดาห์ที่สองเริ่มสอบ สอบที่นี่ต้องได้อย่างต่ำ 80% สามารถตกได้หนึ่งครั้ง ถ้าตกครั้งที่สองคือเก็บของกลับบ้านเลย… พี่คนไทยก็กดดันเรามาว่าต้องผ่านนะ อันนี้เป็นอันที่ยากที่สุด ถ้าใช้สิทธิ์ตกไปก็อยู่ยากแล้ว เพราะมันมีสอบเยอะมากกกกกกกก สอบเป็นสิบครั้ง ตกได้ครั้งเดียว เราก็เครียดแล้วสิ ครั้งแรกรู้สึกจะสอบเกี่ยวกับเครื่องบิน 737-700, 800, 900 คือออออออ ต้องรู้หมด รายละเอียดมันเยอะมาก สอบเสร็จเพื่อนเราร้องไห้ ตกสิจ้า ห้องเราตกไปสองคน ทีนี้เริ่มหวั่นไหวแล้ว ถ้าตกอีกรอบคือกลับบ้าน… เราไม่แน่ใจว่าที่ไทยเป็นยังไง แต่ได้ยินมาว่าถ้าเค้ารับแล้ว ก็คือเทรนไป ไม่มีตก แต่ของเรานี่คัดออกอย่างเดียว สอบตก กลับบ้าน พฤติกรรมไม่ดี กลับบ้าน…

วีคแรกพอได้เบส เพื่อนเราคนนึงกลับบ้าน เพราะไม่อยากไปบอสตั้น ต่อมาเพื่อนผู้ชาย โดนจับได้ว่า พาผู้หญิงมานอนในห้อง โดนสั่งกลับบ้าน เพราะผิดกฏ แค่จีบกันยังไม่ได้เลย ต่อมาเพื่อนผู้หญิงไม่สบาย เจ็บคอ ไปหาหมอที่คลินิค สรุปเป็น strep throat (คออักเสบ) โดนส่งกลับบ้านเพราะกลัวแพร่เชื้อ ต่อมาเพื่อนเราสอบตกกัน ก็ทยอยกลับบ้านกันไปทีละคนสองคน สรุปรุ่นเราจาก 82 เหลือ 72 คน

ระหว่างเทรนก็มีสอบเรื่อยๆ มันกดดันจริงๆ ค่ะ คือนึกภาพตามนะว่า เวลาเทรนเราทำอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ถ้าอยู่ในห้องเรียน ก็เปิด PowerPoint นั่งจดกันมือหงิก อาจารย์ก็อ่านไป อธิบายไป บางทียังไม่เข้าใจ ยังจดไม่ทันก็ไปหัวข้ออื่นแล้ว แล้วนึกดูว่าวันนึงเรียนประมาณ 8 ช.ม. ข้อมูลใหม่ๆ ทั้งนั้น เรานั่งจดตาม บางทีมัวแต่มองกระดานรีบจด ก็ไม่ได้ฟังเต็มที่ว่าเค้าพูดอะไร พอลองตั้งใจฟังแล้วไม่จด สรุปกลับบ้านมาก็ลืมหมดค่า เพราะมันเยอะมากกกกกก ตั้งใจฟังก็ใช่จะเข้าใจ ศัพท์อะไรแปลกๆ เยอะแยะไปหมด แถมนั่งฟังนานๆ ง่วงสิค้าจะรออะไร ตาอะมองอยู่นะ แต่สมองนี่ไปนานแล้วววว เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มันง่วงงงงง มันเบื่อออออออออ มันเมื่อยยยยย มันไม่อยากฟังงงงงงงง ทรมานมากกับความง่วง จากคนที่ไม่ชอบกาแฟ เรายังต้องกินเลยค่ะ แต่ก็ไม่ช่วยอะ ความน่าเบื่อมันเยอะกว่า ถ้าเจออาจารย์ตลกๆ ก็ค่อยดีนะ นางจะชอบมีมุขสอดแทรก แต่อาจารย์บางคนที่เอาแต่อ่านๆ จริงจังมาก ฟังแล้วจะหลับ

ด้านอุปกรณ์ Equipment เราต้องมาเรียนรู้ใหม่เยอะมากกกกกกกก อย่างเช่น เครื่องดับเพลิงมีกี่ชนิด แต่ละอย่างใช้ได้กี่วินาที ต้องเรียนรู้การ Pre-flight คือเช็คอุปกรณ์ตอนขึ้นเครื่อง ต้องรู้ว่าอุปกรณ์แต่ละอย่างใช้ยังไง ต้องไปเรียนการดับเพลิง ใส่หมวก PBE ต้องเรียนว่า ออกซิเจนมีกี่แบบ แตกต่างยังไง ใช้ยังไง ใช้ตอนไหน โอ้ยยยยคุณขา คือมันเยอะมากกกกกกกค่ะ

ABA briefing นี่เป็นอะไรที่เพื่อนเราเครียดกันมาก เมทเราพอนางเครียดแล้วนางกวนตีนอ่ะค่ะ ชอบเหวี่ยงใส่ไรงี้ เกือบเลิกคบนางตอนสอบ ABA briefing นี่แหละ…  ABA briefing คือการที่เราต้องมาเตี๊ยมกับผู้โดยสาร ในกรณีที่ต้องหาที่ลงแบบด่วนในเหตุการณ์ฉุกเฉิน เอาง่ายๆ นะคะ สมมุติว่ามีเหตุการณ์อะไรฉุกเฉิน ต้องหาที่จอดให้เร็วที่สุด เราต้องหาตัวช่วยค่ะ เราต้องเลือกผู้โดยสารที่มีความสามารถและสมัครใจ เริ่มบรีฟกันก่อนว่า เห้ยยย เดี๋ยวถ้าลงแล้ว เธอต้องทำอะไรบ้าง ถ้าลงในน้ำมันจะมีแพอยู่ตรงนี้นะ ช่วยกันแบกสองคน แล้วเอาแพออกยังไง ต้องอพยพคนยังไง ประมาณนี้ ซึ่งความยากคือ มันต้องท่องเยอะมากกก… เพราะมันมีหลายสถานการณ์ ออกทางประตู ออกทางหน้าต่าง ลงทางบก ทางน้ำ คือมันเยอะมากจริงๆ ค่ะ แต่โชคดีที่เราเป็นคนความจำค่อนข้างดี ท่องไม่นานเราก็จำได้แล้ว แต่เพื่อนเรานี่คือมันจำไม่ได้ไง แล้วมันก็เครียด แล้วมันก็เหวี่ยง ไอ้เราก็พยายามจะช่วยติว แต่มันหาว่าไปกดดัน แล้วก็มาอารมณ์เสียใส่ แต่ช่วงนั้นพยายามเข้าใจว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็ต้องปล่อยไป ช่วงนั้นไม่คุยกับเมทสองสามวัน แต่พอสอบเสร็จก็กลับมาคุยเหมือนเดิม เพลียยยยยใจ

ต่อมาที่หนักๆ คือ Evacuation หรือการอพยพคน โอ้ยยย… อันนี้อ่ะเราเครียดดดดดด ขอพิมพ์แปปนึงนะคะ

Evac นี่คือเราต้องรู้ Command หรือคำสั่งการก่อน จุดที่ยากคือ เครื่องบินแต่ละลำ ตำแหน่งแอร์แต่ละที่ อพยพทางบกกับทางน้ำ มีคำสั่งการไม่เหมือนกัน!!!! แล้วคือต้องรู้หมด!! OMG!! ยัง ยัง ยัง จุดพีคคือจำลองเหตุการณ์จริง อ่ะ นึกภาพตามกันนะคะ

อาจารย์ทำตัวอย่างให้ดูก่อน ให้เราไปนั่งในเครื่องบินจริงๆ สมมติว่าเครื่องบินลำ 737 มีแอร์อยู่ 4 คน แล้วจู่ๆ มีควันขาวขึ้นมา ค่อยๆ หนาขึ้นจนมองไม่เห็น คือมีควันมาจริงๆ ค่ะ จำลองเหตุการณ์จริง ณ วินาทีนั้น แอร์แต่ละคนต้องทำอะไรบ้าง ต้องรายงานกัปตัน อีกคนต้องบอกผู้โดยสารให้นั่งลง ห้ามลุกขึ้น พร้อมๆ กับที่ต้องมองหน้าต่างดูเหตุการณ์ข้างนอกว่า มันปลอดภัยที่จะเปิดประตูมั้ย คอยฟังคำสั่งกัปตัน ถึงเวลาต้องเปิดประตูพร้อมกับสั่งการผู้โดยสารไปด้วย ต้องตะโกนสั่งดังๆ เสียงต้องดัง ต้องหนักแน่น ต้องเฉียบขาดให้สมกับเป็นผู้นำ ต้องตัดสินใจให้รวดเร็ว พาคนออกไปให้เร็วที่สุด ปลอดภัยที่สุด พอประตูเปิดจะมีสไลด์ให้คนลื่นลงไป จำได้มั้ยคะว่าเรามี ABA ที่เป็นผู้ช่วย ใช่ค่ะ เราต้องสั่งการผู้ช่วย แล้วสั่งให้คนออก แต่บางทีถ้าข้างนอกไฟไหม้หรือไม่ปลอดภัย ไม่สามารถเปิดประตูได้ เราก็ต้องสั่งให้ออกประตูอื่น อันนี้คร่าวๆ นะคะ รายละเอียดจริงมันเยอะมากกกกก ไม่สามารถเล่าได้หมดจริงๆ ค่ะ แต่คือตอนซ้อม ตอนสอบ มันกดดันมากจริงๆ เพราะทุกอย่างเหมือนจริง ไม่มีมาเล่นๆ ควันมาจริง ต้องอพยพคนจริงๆ ก็อพยพเพื่อนในห้องนี่แหละค่ะ วันนั้นลื่นสไลด์กันคนละเป็นสิบรอบกว่าจะซ้อมเสร็จ อาจารย์โหดมากวันนั้น กดดันสุด แล้วเราเป็นคนไทยอะ จะพูดเบาๆ เนอะ แล้วนี่ต้องให้มาตะโกน แถมต้องท่องสคริปคำสั่ง แล้วต้องไว แล้วต้องถูกขั้นตอน โอ้ยยยยยย ตอนนั้นเริ่มถอดใจแล้ว

หลังจากได้ซ้อมกับอาจารย์บนเครื่องบิน เค้าก็ให้เวลาเราหนึ่งวันเต็มๆ ไม่ต้องมาเรียน ให้อยู่ซ้อมที่โรงแรม คุณคะ เอาเกาอี้มาเรียงๆ กันเป็นที่นั่งบนเครื่อง ซ้อมกันแบบวุ่นวาย ตะโกนแหกปากทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น บางทีเราได้ เพื่อนไม่ได้ เพื่อนได้ตรงนี้ เราพลาดตรงนั้น เหนื่อยมากกกกกกกกกกวันนั้น

วันสอบ… แบ่งเป็นทีม ทีมละสามหรือสี่คน ทีมเราผ่านทุกคน!!! คือถึงเวลาจริง อินเนอร์มันมา ทุกอย่างผ่านฉลุย แต่เพื่อนเรา คนนึงตอนนั่ง สมมติว่าต้องกอดอก นางก็กอดอกนั่นแหละ แต่หูแว่ว พอดีทีมนางได้เหตุการณ์จำลองเครื่องบินตก นางนึกว่าได้ยินเสียงเครื่องบินตกแล้ว ก็ปล่อยมือจากท่ากอดอก แค่นั้นแหละค่ะ ตกค่ะ!! อีกคน ตอนอพยพคน เราต้องเอามือนึงคว้าที่จับไว้เพื่อที่ตัวเราจะได้ไม่ตกเครื่องบินลงไป เพื่อนเราก็จับนะ แล้วอีกมือก็โบกให้คนอพยพ แล้วเผลอปล่อยมือที่คว้าเสาไว้แค่แปปเดียว ค่ะ ตามนั้นค่ะ ตกค่ะ!! ก็อย่างที่บอกค่ะว่าทุกคนที่สิทธิ์สอบตกได้หนึ่งครั้ง โชคดีไปที่ไอ้พวกนี้ยังไม่เคยตกข้อสอบอื่นมาก่อน เพิ่งมาตกภาคปฏิบัติครั้งแรก ก็โดนเรียกไปสอบใหม่ จำลองเหตุการณ์ทำอะไรเหมือนเดิม พวกเราในห้องก็นั่งลุ้นกันไป พอพวกนางเดินกลับเข้าห้องมาบอกว่าผ่านหมด คือกรี๊ดกันลั่นห้อง

อ้อ! ลืมบอกไปว่า เวลามีคนสอบตกแล้วกลับบ้านเนี่ยมันเป็นยังไง ครั้งแรกคืออาจารย์เดินเข้ามาเก็บของ เอากระเป๋าสมบัติเพื่อนเราออกไป โดยที่พวกเราไม่ได้เจอเพื่อนเลย คือไม่ได้ล่ำลา หันมาอีกทีป้ายชื่อ กระเป๋า หายไปหมดแล้ว เพื่อนก็โดนส่งกลับโรงแรมทันที แล้วเค้าจะหาตั๋วให้เร็วที่สุดอ่ะค่ะ บางคนตกตอนเช้า ตอนเย็นบินกลับเลย อีกครั้งนึงช่วงนั้นเป็นสอบไฟนอล มีตกไปสามคน อาจารย์เรียกพวกเราไปอีกห้องนึง ทีแรกก็งงว่าไปทำอะไร มารู้ตอนหลัง คือเค้าให้เวลาพวกที่สอบตกเข้าไปเก็บห้อง ไม่ให้พวกเราเห็น ไม่ได้ล่ำลา พวกเราเดินกลับเข้าห้องไปอีกที คือป้ายชื่อหาย ข้าวของหาย เหมือนหายตัวไป มันเป็นอะไรที่แบบ …

ผ่านจาก Evac ไป นึกว่าจะโล่ง ยังค่ะ ยังมีอีกกกกกก คราวนี้มาว่ากันเรื่อง ประตู

Aircraft Doors

เครื่องบินแต่ละลำจะมีประตูที่ไม่เหมือนกัน วิธีการเปิด-ปิดประตู การล็อคไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ให้หมด ที่เรียนมีทั้งหมด 6 ประตู หรือ 6 ชนิดของเครื่องบิน ฟังดูก็ไม่น่ายาก แต่คือมันเยอะมากกกกกก แล้วคือไม่ได้เรียนแค่ประตู แต่เรียนเครื่องบินแต่ละรุ่น เรียนทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ เรียนวันละหนึ่งประตู เรียนเสร็จวันนั้น ตกเย็นสอบเลย อาทิตย์นั้นเป็นอะไรที่โหดพอควร แล้วเวลาสอบ เราสอบในคอมค่ะ สอบเสร็จรู้ผลตรงนั้นเลยว่าตกหรือผ่าน ไหนจะภาคปฏิบัติกับอาจารย์อีก เช้ายันเย็นติดกันทุกวัน มีเพื่อนสอบตกโดนส่งกลับบ้านไปคน ยิ่งทำให้เครียดกันเข้าไปใหญ่

ผ่านช่วงสัปดาห์ประตูเสร็จ ยังหายใจไม่ทันทั่วท้อง ก็ถึงเวลาสอบไฟนอล เข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 แล้ววววว เวลาผ่านไปไวมาก

ไฟนอลนี่คือรวมหมดเลย ตั้งแต่ที่เรียนวันแรกจนถึงวันนั้น ไฟนอลจะแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือสอบในคอม มีทั้งหมด 100 ข้อ ต้องให้ได้ 80% ขึ้น ส่วนที่สองคือเรื่องอุปกรณ์ พวกเครื่องดับเพลิง โน่นนี่นั่น ส่วนที่สามอันนี้เป็นอันที่เราหวั่นไหวที่สุด คือ First Aid ซึ่งต้องทำ CPR คือตอนเรียนเรามีปัญหากับการปั๊มหัวใจมาก ไม่รู้ว่าเพราะหุ่นมันแข็งด้วย เพราะเราทำไม่ถูกวิธีด้วย หรือยังไง แต่คือตอนเรียนนี่ปั๊มจนมือแดง เจ็บไปเป็นอาทิตย์ยังทำไม่ค่อยได้เลย แล้วต้องรู้วีธีใช้ AED หรือเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า แล้วตอนเรียนทุกคนมีโอกาสได้ซ้อมกับหุ่นก็จริง แต่เวลาเรียนคือทุกอย่างเร็วมากกกกก ไม่ได้มีเวลามาให้ซ้อมให้ถามกันเยอะ เพราะแต่ละวันข้อมูลเยอะมากจริงๆ วันสอบไฟนอลนี่ก็หวั่นไหว นึกว่าจะตกซะแล้ว แต่โชคดีที่เทคเดียวผ่าน ไม่ต้องซ่อมต้องแก้อะไร ..

วันไฟนอลเพื่อนห้องเราตกไปสามคน คือจะบอกว่ามาเทรนมันเหมือนมาเข้าค่ายอะค่ะ เพราะเรากินนอนด้วยกัน เรียนด้วยกันทั้งวัน กลับมายังมาเจอกัน กินข้าวด้วยกัน เม้ามอยกัน หัวเราะร้องไห้ด้วยกัน ว่างๆ ไปเที่ยวกัน มีอะไรช่วยเหลือกันตลอด ยิ่งช่วงติวด้วยกันก่อนสอบแต่ละครั้ง คือยังฉุดกระชากลากถู ทั้งขู่เข็ญ ทั้งดึงทั้งลาก กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ด้วยกัน ความผูกพันมันมีมากแน่นอน แล้ววันสอบไฟนอลเพื่อนสนิทในกลุ่มเราหายไปสองคน ส่งข้อความมาบอกว่า “อยู่บนรถแล้วนะ ดีใจที่ได้รู้จัก รักพวกเธอทุกคน”  โอ้โหหหห… น้ำตาแตกเลย เพื่อนก็ตกใจกันว่าเป็นอะไร พอรู้ว่านังพวกนี้สอบตกเท่านั้นแหละ พากันร้องไห้กันเกือบทั้งห้อง ดราม่าสุด อารมณ์อ่อนไหวสุด ซึ่งตอนเราเข้าใจเลยว่าทำไมเค้าคนที่ตกไปแบบเงียบๆ

เพราะถ้าเห็นสภาพเพื่อนร้องไห้เดินมาเก็บข้าวของ เราคงทำใจลำบาก แถมคงเครียดหนัก กดดันหนักกว่าเดิม… วันนั้นเราสงสารเพื่อนมาก คือนางแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เป็นคนที่ขยันมากกกกกกก มากกว่าเราหลายร้อยเท่านัก แล้วนางทุ่มเท ตั้งใจมากตั้งแต่วันแรก แล้วมันเหลืออีกแค่นิดเดียว นางสอบผ่านหมดทุกอย่าง ยกเว้นตอนภาคปฏิบัติที่ต้องอพยพคน พลาดเพียงเพราะว่า เปิดประตูเลยโดยที่ลืมมองดูหน้าต่างว่า สภาพภายนอกเป็นยังไง แค่นั้นแหละค่ะ ถือว่าตกทันที ไม่มีการซ่อม

โดยปกติช่วงที่เทรน สอบเป็นสิบๆ ครั้ง แต่สามารถตกได้หนึ่งครั้ง ใครที่ใช้สิทธิ์ไปแต่เนิ่นๆ ก็อยู่แบบหวั่นไหวกันไป ส่วนไฟนอลสามารถตกได้หนึ่งครั้งไม่เกี่ยวกับปกติที่ผ่านมา… แต่เราไม่เคยตกซักอย่างนะ แอบภูมิใจเบาๆ

เทรนใกล้จบแล้วววววว

คงนึกว่าสอบผ่านแล้วก็คือผ่านใช่มั้ยคะ ผิดค่ะ!! มันยังไม่จบแค่นี้ นี่คือเรียนมาเดือนกว่าๆ จนใกล้จะจบแล้ว มีแต่เรื่องความปลอดภัยล้วนๆๆๆๆ ยังไม่ได้เรียนเรื่องบริการเลยยยยย สอบไฟนอลเสร็จ ก็โดนจับไปบินเลยค่า!!! ใช่ค่ะ เราไปบินโดยที่เรายังไม่ได้เรียนเรื่องบริการ ไม่ได้เรียนเรื่องเสิร์ฟ แต่ครั้งนี้คือไปประกบแอร์เฉยๆ ไปเรียนรู้งาน วันนั้นพวกเราไม่มีสิทธิ์ทำอะไรที่เกี่ยวกับ Safety เช่น ไม่สามารถเปิดปิดประตู แต่สามารถช่วยเรื่องบริการ เช่น เสิร์ฟดื่ม หรืออาหาร เทคออเดอร์ในเฟิร์สคลาส

วันนั้นเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกกก แต่ยังรู้สึกสนุกเพราะวันนั้นได้บินกับเพื่อนสนิท ก็เลยฮาๆ กันไป มีอาจารย์ไปด้วยหนึ่งคน พวกเรามีกันสี่คน บิน Chicago – Denver ไปถึงแล้วก็กลับเลย ไม่มีเวลากินข้าวด้วยซ้ำ… ขึ้นเครื่องลำ 737 ขาไปเราได้เสิร์ฟเฟิร์สคลาส เทคออเดอร์ดื่ม อาหาร แจกผ้าร้อนเช็ดมือ ดูแลตรงนั้น ส่วนขากลับเสิร์ฟชั้น Economy ก็แจกขนม เสิร์ฟน้ำ ไม่ยุ่งยากอะไร

แต่ตอนวางแก้วนี่เห็นเลยว่ามือสั่น แถมด้วยความตื่นเต้นบวกเกร็ง เราจะหยิบแก้วน้ำ แต่ด้วยความมือสั่น นี่ก็ทำแก้วปลิวตกใส่ผู้โดยสารบ้าง ทำกระดาษทิชชู่หล่นปลิวว่อนบ้าง ก็ตกใจ แล้วก็ขอโทษขอโพยไป บอกไปว่าเป็นเด็กฝึกงาน ซึ่งทุกคนก็เข้าใจดี ไม่ได้ว่าอะไร แต่คือเป็นอะไรที่นึกแล้วก็ฮา เพื่อนเรานี่ยิ่งหนัก ไปทำน้ำส้มหกใส่ผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสกันเลยทีเดียว

พอเสร็จจากนั้นก็กลับมาเรียนต่อค่ะ ใช่ค่ะ เรียนบริการค่ะ

วันแรกเรียนเฟิร์สคลาส

หูยยยยยยย งานดีมาก ชอบมาก เรียนเยอะก็จริง แต่คือเป็นวันที่ได้กินดีเหลือเกิน อาจารย์เอาอุปกรณ์จริงมาทุกอย่าง สอนๆๆๆ ไปซักพัก ถึงเวลาสาธิต เสิร์ฟดื่มก่อน ให้พวกเรานี่แหละเสิร์ฟกันเอง ได้กินน้ำเสร็จแล้วได้กินของว่าง เป็นถั่วรวมหลายๆ ชนิดใส่ถ้วยเล็กๆ เพื่อนที่นั่งข้างๆ เรามันไม่กิน เสร็จโจรสิ หึหึ… ฟาดถั่วไปสองถ้วย เอ้า ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ได้กินเมนูลอบเตอร์จ้า มีสลัด มีขนมปังกับเนยอีก เสิร์ฟดื่มอีก ของหวานต่อด้วยคุกกี้ยักษ์อีก โอ้ยยยยย พุงจะแตกตาย

วันต่อมาเรียนชั้น economy เหอะ! กินแซนวิชจ้า (มองแรงงงงง)

คือต้องอธิบายก่อนว่าช่วงเทรนใหม่ๆ เราก็ได้กินดีอยู่ดีอะค่ะ กินพาสต้า กิน taco กินข้าวกินไก่ มีสลัด มีผัก แต่กินดีอยู่ได้ไม่กี่วัน ที่เหลือก็จะเป็นแซนวิช กินแรกๆ ก็อร่อย พอกินติดๆ กันนานๆ เท่านั้นแหละ โอ้ยยยยย แค่เห็นกล่องก็อยากจะเขวี้ยงทิ้งแล้ว แต่ถึงเวลาจริงๆ มันหิว กินอะไรก็อร่อยแหละ แต่มันก็เอือมอ่ะ ตั้งแต่เทรนจบ เราไม่เคยแตะแซนวิชอีกเลย ขยาดไปอีกนานนนนน

เรียน Economy ก็ไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ ไม่ยุ่งยาก ไม่มีพิธีรีตองอะไรเยอะเหมือนเฟิร์สคลาส พอเรียนจบคราวนี้ก็ได้เวลาบินอีกแล้ววววววว

อีกวันเรียน International อันนี้ก็ดีเทลเยอะ แต่ได้กินดีกว่า Economy นิดนึง มีอาหาร มีของหวาน

คราวนี้บินกับเพื่อนในห้องเหมือนเดิม แต่สลับคน สลับที่ สลับตำแหน่งกัน คือแอร์เนี่ยจะมีตำแหน่งของแต่ละคน มีที่นั่งระบุชัดเจนว่าต้องนั่งตรงไหน มีหน้าที่ความรับผิดชอบแบ่งแยกชัดเจน แต่ละครั้งที่บินเราไม่รู้หรอกว่าจะได้ตำแหน่งอะไร ก็แล้วแต่เค้าจะจัดมา เพราะฉะนั้นต้องเป็นทุกตำแหน่ง

รอบนี้ไปกันสามคน บิน Chicago-Pittsburgh แต่รอบนี้บินแอร์บัส คราวนี้มีแอร์อยู่ด้วยก็จริง แต่คราวนี้เค้าให้ล็อคและปลดล็อคประตู โดยที่แอร์พี่เลี้ยงยืนประกบอยู่ข้างๆ แต่เค้าให้เราประกาศเอง รอเครื่องขึ้น แอร์พี่เลี้ยงก็ไปนั่ง ปล่อยให้พวกเราทำเองหมดจนถึงช่วงใกล้ๆ จะลง เค้าถึงมาประจำตำแหน่งตัวเอง แล้วให้พวกเรากลับไปนั่งที่ ส่วนอาจารย์ก็ไปนั่งเม้ามอยอยู่กับแอร์พี่เลี้ยงข้างหลัง

รอบนี้เรานี่ซวยสุดด… ปกติเราก็เข้ากับเพื่อนได้หมดทุกคนนะ ยกเว้นมีคนนึงที่เราไม่ชอบเอามากๆ ขอเม้านางหน่อยนะ คือนางอะเป็นผิวดำที่สวยนะ สูงผอม เคยเป็นแอร์มาก่อน ฉลาดมาก แต่นิสัยเสีย ชอบอวดรู้ ชอบติคนอื่น ชอบทำตัวเด่น แต่หยิ่งมาก แถมเจ้ากี้เจ้าการ ทำตัวเป็นบอส จนหลังๆ เพื่อนเอือมระอา ไม่มีใครคบ แล้วเราก็ดันได้บินกับนางอีกกกกก โอ้ยยยย ตอนที่รู้นี่แบบ…. เครียดดดดดดดด

ยังไม่พอ เราได้ตำแหน่ง Purser แอร์ที่เป็นหลีด เป็นคนประกาศ แล้วแอร์บัสลำมันเล็ก ตอนบินเราอยู่ข้างหน้าคนเดียว กดดันไปอีกกกกกก ขากลับค่อยยังชั่วหน่อยได้ไปอยู่ข้างหลัง เม้ามอยกับเพื่อนไป ขากลับโจทย์เรานางเป็น Purser อยู่ข้างหน้าคนเดียว… สบายใจ…

บินเสร็จ อาจารย์ก็เรียกไปคุย บอกว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนที่ต้องแก้ไข แล้วนางก็ชมว่าพวกเราทำได้ดีนะ ทำสาธิต Safety demo ได้ดีมาก สรุปผ่านทุกคน

หลังจากนี้ก็กลับไปเรียนอีกวันสองวัน แล้วก็รับปริญญาแล้วค่ะ พิธีสั้นๆ ได้ใจความ ซ้อมรับตอนเช้า ตอนบ่ายเข้าพิธี น้ำตาซึมกันไป เค้าให้ตั๋วฟรีสองที่นั่งเชิญใครมาก็ได้ เราให้พ่อแม่มา บางคนก็ขนกันมาเป็นครอบครัว รับปริญญาเสร็จกลับบ้านกันวันนั้นเลย ถ้าจะอยู่ต่อ ต้องจ่ายค่าโรงแรมเอง ค่าตั๋วทั้งขามาและขากลับฟรีหมดค่ะ ไม่ได้จ่ายอะไร ให้กลับไปพักหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะได้ปฐมนิเทศ

เห็นมั้ยคะว่า “กว่าจะเป็นแอร์ได้มันไม่ง่ายเลยนะ” แล้วอะไรคือการที่เรียนเรื่องบริการแค่สามวัน… แต่เรียนเรื่องความปลอดภัยเป็นเดือน เพราะงั้นอย่าแปลกใจเลยค่ะว่า “ทำไมฝรั่งถึงบริการไม่ค่อยดี ไม่นอบน้อมเท่าของเอเชีย เพราะเราไม่ได้เน้นบริการ เน้นเรื่องความปลอดภัยล้วนๆ แต่คนที่ไม่รู้ก็จะมองแค่เรื่องบริการ หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังพวกเราทุ่มเทกันแน่ไหนกับเรื่องความปลอดภัย เพราะ there is no second chance แล้วจะมาใช้เส้นใช้สายเหมือนเมืองไทยไม่ได้ เพราะสอบตกยังไงก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี เอะอะไล่กลับๆ”

เรามาคุยกันดีกว่าว่า “ข้อดีข้อเสียของการเป็นแอร์คือยังไง ทำไมบางคนว่าดี บางคนว่าไม่ดี”

คือก่อนอื่นอาชีพนี้มันเป็น “ไลฟ์สไตล์” ค่ะ บางคนชอบทำงานประจำ มีเวลาเข้างานออกงานชัดเจน มีวันหยุดแน่นอน ได้กลับบ้านทุกวัน บางคนไม่ชอบความจำเจ ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ บางคนชอบอยู่บ้าน ดูทีวี อ่านหนังสือ เล่นกับหมา บางคนชอบออกไปข้างนอก อยู่ไม่ติดบ้าน พวกนี้มันคือ “ไลฟ์สไตล์” ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบแบบไหน โดยส่วนตัวเราเป็นพวกอยู่บ้านไม่ติด ต้องออกไปไหน ไม่ชอบความจำเจ ไม่ชอบทำอะไรเหมือนๆ กันทุกวัน เราชอบไปเที่ยว ชอบเดินทาง เราเคยทำงานร้านอาหารซึ่งเราก็ชอบงานแนวนี้ ได้เจอผู้เจอคน

ข้อดีของการเป็นแอร์เท่าที่นึกได้นะคะ

  • ได้บินไปโน่นไปนี่ เวลาทำงานถ้าต้องไปค้างที่อื่นก็ได้พักโรงแรมดีๆ มีเวลาเหลือก็ได้ออกไปเดินชมบ้านชมเมือง
  • บินภายในประเทศฟรี ถ้าต่างประเทศเสียค่าภาษีสนามบินนิดหน่อย
  • พ่อแม่ ได้สิทธิ์เท่ากัน ส่งลูกไปเทรน แต่พ่อแม่ได้บินฟรี ได้สิทธิ์เท่ากันเลยจ้า
  • สามีหรือภรรยา ลูก ก็ได้สิทธิ์บินฟรีนะคะ แต่มากน้อยยังไงจำไม่ได้แล้ว เพราะเราไม่มีแฟนไม่มีลูก ตอนเค้าอธิบายเลยไม่ได้ตั้งใจฟังนัก
  • Buddy pass คือ ตั๋วฟรี ปีนึงได้กี่ใบจำไม่ได้แล้ว ให้ใครใช้ก็ได้แล้วแต่เรา แต่มีข้อแม้คือต้องแต่งกายสุภาพ ทำตัวดีๆ ไม่ได้ทะเลาะหรือสร้างความวุ่นวาย
  • ประกันสุขภาพดีในราคาถูก แต่ไม่ครอบคลุมพ่อแม่ ได้แค่คู่ครองกับลูก ถ้าป่วยไม่มาก สามารถไปคลินิคในสนามบินได้ ฟรีค่ะ
  • เงินปีแรกยังไม่ดีค่ะ แต่เพิ่มขึ้นทุกปี ยิ่งทำนานๆ เงินยิ่งเยอะ ยิ่งถ้าขยันทำเกินเวลาก็ยิ่งได้ตังค์มากขึ้น
  • เรียนจบมัธยมก็สมัครงานได้ อายุขั้นต่ำคือ 21 แต่ไม่จำกัดอายุ คืออายุ 60 ก็มาสมัครได้ อ้วนผอมขาวดำมาสมัครได้หมด คือถ้าเป็นงานอื่น บางทีเรารู้สึกว่าข้อจำกัดมันเยอะ อายุมากขึ้นจะเปลี่ยนงานก็ยาก หน้าตาไม่ดี ไม่มีเส้นก็หางานยาก แต่งานนี้เหมือนมันค่อนข้างเปิดกว้างให้สิทธิ์คนเท่าเทียมกัน ตอนเราสมัคร มีคนมากมายที่สวย ดูดี แต่ก็ไม่ผ่าน คือก่อนที่จะมาเทรนเราว่า เค้าคัดจากทัศนคติก่อน ผ่านเข้ามาเทรนก็วัดที่ความสามารถ ไม่ต้องมานั่งแข่งขันเรื่องรูปร่างหน้าตา ไม่ต้องมาแข่งขันเรื่องเส้นสายว่าใครเส้นใหญ่กว่า คัดคนออกเรื่อยๆเหลือแต่คุณภาพดีๆ แฟร์ๆ ดีค่ะ
  • งานไม่เครียด เดินออกจากเครื่องบินก็คือจบ ไม่ต้องแบกงานมาทำต่อที่บ้าน ไม่ต้องมานั่งคิดนั่งเครียดต่อ จบแล้วก็คือจบ สบายใจ
  • เพื่อนร่วมงานส่วนมากจะดี บางทีไปบินกลับมาก็ได้เพื่อนดีๆ เพิ่ม หรือถ้าเจอคนไหนไม่ค่อยดี ทำงานจบแล้วก็แยกย้าย โอกาสที่จะได้เจออีกค่อยข้างน้อย ไม่ต้องมานั่งมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน
  • กัปตันใจดีทั้งนั้น ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้คุยอะไร แต่บางทีกัปตันชอบเลี้ยงกาแฟ กัปตันชอบบอกว่ามีปัญหาอะไรให้บอก ถ้าพวกเธอ happy ชั้นก็ happy เลยไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาเจ้านายงี่เง่าเอาแต่ใจอะไรพวกนั้น
  • ได้ส่วนลดเยอะ ส่วนลดโรงแรม เช่ารถ ล่องเรือครูซ ไปพิพิธภัณฑ์ฟรี ส่วนลดค่าโทรศัพท์ โน่นนี่นั่น
  • เข้าไปในสนามบินโดยใช้บัตรพนักงาน อันนี้เป็นอะไรที่ชอบมากกกกกก ไม่ต้องไปต่อแถว security ไม่ต้องมาเช็คสแกนกระเป๋า ขนน้ำขนอาหารเข้าได้ไป แค่โชว์บัตรก็เดินปร๋อเข้าไปเลย
  • เนื้องานค่อนข้างง่าย งานไม่หนัก คือหลักๆ แค่เสิร์ฟน้ำหรืออาหาร รายละเอียดปลีกย่อยมีเยอะก็จริง แต่พอทำจนชินมันก็ไม่มีอะไรมาก สมมติบินในประเทศสองชั่วโมง พอเครื่องขึ้นแล้ว เสิร์ฟน้ำจริงๆ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เดินเก็บขยะรอบสองรอบ แค่นี้เองค่ะ เวลาที่เหลือว่างๆ ก็เม้ามอยกันไป ตั้งแต่ทำงาน ถ้าเปรียบเทียบกับร้านอาหาร เราว่างานนี้มันง่ายกว่าเยอะเลย เพราะร้านอาหารจุกจิกกว่าเยอะ ลูกค้าเรื่องมากกว่าเยอะ เดี๋ยวไม่ใส่ผักโน่น ไม่เอาอันนี้ จะเอาอันนั้น เปลี่ยนอันนี้เป็นอันนั้น วุ่นวาย เรื่องมาก เมื่อก่อนเคยมีลูกค้าชอบสั่งแกง เอาน้ำแกงข้นๆ แต่ไม่ข้นมาก แต่ห้ามเหลวเหมือนปกติ โอ้ยยยยยย…. หรือสั่งผัดวุ้นเส้นไม่ใส่ซอสซีอิ๊ว แค่ให้ใส่น้ำจิ้มไก่แทน บ้าบออออออ งานเรามันก็แค่มีหรือไม่มี สั่งดื่มมา มีก็ให้ ไม่มีก็บอกไปว่าไม่มี จบ ไม่ต้องยุ่งยากอะไร
  • เดือนหนึ่งได้หยุด 12 วัน สำหรับพวกเด็กใหม่นะคะ แต่ถ้าแอร์รุ่นป้านี่ได้หยุดเยอะกว่านี้ ตารางแต่ละเดือนไม่เหมือนกัน แต่อย่างเดือนนี้เราได้หยุด 7 วันติดกัน นี่จองตั๋วไปอังกฤษแล้วจ้า อิอิ วันหยุดสามารถแลกเปลี่ยนได้ แล้วแต่ตาราง แล้วแต่จังหวะเวลา ห้ามทำงานเกิน 6 วัน เพราะแอร์ต้องพักผ่อน เสร็จจากทริปแอร์ต้องได้พักอย่างน้อย 12 ชั่วโมง
  • บนเครื่องจะกินน้ำอะไรก็กินไปค่ะ ยกเว้นแอลกอฮอล์ บางทีถ้าอาหารมันเหลือ หมายถึงขายไม่หมด หรือเกินมา เช่นผู้โดยสารเฟิร์สคลาสมี 12 คน แต่บางคนไม่กิน จะนอนอย่างเดียว หรือไม่ชอบเมนูอาหาร อันที่เหลือก็เสร็จพวกเรานี่แหละค่ะ หิวก็กิน ไม่หิวก็ทิ้ง
  • ไม่จำกัดอายุเกษียณงาน บางคนนี่ทำจนงอมแล้วก็ไม่ยอมเกษียณ ตอนบินครั้งแรกเจอแอร์รุ่นป้า แต่นางบอกนางเพิ่งบินได้สามปี ถามว่านางอายุเท่าไหร่ นางบอกปีนี้ 60 โอ้ยยยยย คุณป้า เพิ่งเริ่มบินตอนอายุ 57 กับเมื่อวานเจอแอร์แม่ พวกเราเรียกแอร์รุ่นโบราณว่า senior mama นางบินมา 33 ปี แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดด้วย ยอมใจมาก (รูปข้างล่าง นั่นล่ะ ขุ่นแม่)
  • โลกกว้างขึ้น ถึงเราจะทำได้ไม่นาน แต่ก็รู้สึกได้ว่าโลกมันกว้างขึ้น เจอคนมากขึ้น ทำงานทุกครั้งได้เพื่อนกลับมาทุกครั้ง หรือบางทีเวลาบินกับรุ่นเก๋า เราก็นั่งฟังประสบการณ์ของเค้าไป เพราะเค้าไปกันมาทั่วโลกแล้ว อะไรควรทำไม่ควรทำเค้าก็เล่าให้ฟังหมด

อันนี้เท่าที่นึกได้นะคะ เดี๋ยวถ้านึกอะไรได้เพิ่มเติมแล้วจะมาบอก

แต่ข้อเสียมันก็มีค่ะ มาฟังกันดีกว่า

  • เหนื่อยกับการเดินทางและเวลาเปลี่ยน เวลากินเวลานอนนี่รวนหมด ช่วงแรกๆ ร่างพังมาก ยิ่งถ้าทำกะกลางคืนยันเช้าเป็นอะไรที่รวนสุด ซึ่งเราไม่เคยเลย ปกติเป็นคนกินนอนตรงเวลา อันนี้เรายังปรับตัวอยู่ ยิ่งวันไหนที่บินหลายรัฐแล้วแต่ละที่เวลาไม่เหมือนกันนี่เป็นอะไรที่รวนสุด
  • ช่วงแรกๆ เราไม่มีตารางงาน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องรอกี่ปีถึงจะได้ hold line หมายถึงรู้ตารางแน่นอนว่า วันนี้ไปไหนยังไง ของพวกเราตอนนี้เป็น reserve หรือคอยสแตนด์บายไว้ ต้องพร้อมเสมอ บางวันโทรมาเรียกตอนตี 3 ให้เวลาเตรียมตัว 2-3 ชั่วโมง หรือบางวันต้องไปนั่งสแตนด์บายที่สนามบิน เรียกปุ๊ปไปปั๊ป บางวันนอนแกร่วรออยู่บ้าน 4-5 วันก็ไม่เรียกไปทำงานซักที คือชีวิตขึ้นอยู่กับความไม่รู้ พวกเราจะรู้แค่ว่าทำงานวันไหน หยุดวันไหน แค่ไม่รู้ว่าจะได้ไปไหน
  • รู้สึกป่วยง่ายขึ้น หรือเป็นเพราะเราย้ายจากเมืองร้อนอย่างฟลอริด้า จู่ๆ มาเจออากาศหนาวที่นี่เลยป่วยง่ายรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าย้ายมาอาทิตย์แรกก็ป่วยเลย แถมหวัดลงคอ ไปบินครั้งแรกกลับมาเสียงหายเลยจ้า ต้องไปหาหมอ โดนหมอสั่งพักงาน เป็นเรื่องเป็นราวไปอีก บวกกับช่วงหน้าหนาวคนไม่สบายเยอะ เรารู้สึกว่าบนเครื่องเชื้อโรคยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่
  • ตารางชีวิตไม่เหมือนชาวบ้าน คนอื่นหยุด เราทำงาน คนอื่นทำงาน เราหยุด เค้าไปฉลองเทศกาลอะไรกัน เราก็ไม่ได้ไปกับเค้า แต่โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยซีเรียสเรื่องวันหยุดเทศกาล เลยไม่ค่อยกระทบเท่าไหร่
  • บางทีมันก็เป็นอาชีพเหงาๆ นะ คือทำงานไม่เป็นเวลา อยู่ห่างครอบครัว แต่ตัวเราไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะอยู่ห่างครอบครัวจนชิน แล้วเราแชร์บ้านกับเพื่อนที่เทรน กลับมาก็มาเม้ามอยกันทุกวัน ไม่เคยได้เหงา
  • เงินเดือนปีแรกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าดีกว่างานอื่นๆ อยู่ดี
  • เทรนยากกกกกก

อันนี้มันขึ้นกับนิสัยและไลฟ์สไตล์ล้วนๆ ถ้าคนไม่ชอบ ก็คือไม่ชอบ ส่วนคนที่ชอบ ต่อให้บิน 40 ปี บินจนตายเค้าก็จะบิน แต่โดยส่วนตัวเราคิดว่าช่วงนี้โสดก็ทำไปเอาประสบการณ์ แต่ถึงวันนึงที่มีลูกมีครอบครัวก็คงต้องพักเบรค แต่เรื่องของอนาคตเดี๋ยวค่อยว่ากัน

ตอนเราตัดสินใจมาทำงานนี้ มีแต่โดนคนรอบข้างว่า “เรียนจบตั้ง ป.โท พูดได้สามภาษา ทำไมเลือกมาทำงานนี้ เหนื่อยก็เหนื่อย ไม่เคยได้อยู่บ้าน ทำก็แค่งานเสิร์ฟบนเครื่องบิน ทำไมไม่ไปหางานอื่นดีๆ ทำ” ทีแรกพ่อแม่ก็ไม่สนับสนุน อยากให้ทำงานรัฐบาล แต่โดยส่วนตัวทีแรกเราอยากทำงานบริษัท หาประสบการ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ เพราะเราจบ ป.โท ด้านนี้มา แต่เอาจริงๆ คือตอนกลับมาหางาน จะเอางานดีๆ เงินดีๆ แต่ไม่มีประสบการณ์มันหางานยากจริงๆ ค่ะ เราสมัครงานรัฐบาลไปเยอะมากกกก แล้วก็โดนปฏิเสธกลับมาเพราะเราไม่มีประสบการณ์ ก็เพิ่งเรียนจบอ่ะ ไม่ให้โอกาสทำแล้วจะให้เอาประสบการณ์ที่ไหนอ่ะ แล้วระหว่างรองานอื่นๆ เราก็ได้งานแอร์ก่อน

ก็เลยคิดว่าทำอะไรไปก่อนก็ได้ เก็บประสบการณ์ไป ถ้าชอบก็ทำต่อ ไม่ชอบก็ค่อยหาใหม่ ดีกว่าทำร้านอาหารแล้วอยู่บ้านเกาะพ่อแม่ไปวันๆ เพื่อนๆ พ่อแม่ทั้งไทยทั้งฝรั่งค่อนข้างดูถูกงานแอร์ บอกว่าเป็นขี้ข้าบนเครื่องบิน ตอนนั้นเราโมโหมาก กดดันมาก จนทะเลาะกับพ่อแม่ไปรอบนึง บอกว่างานมันก็คืองาน เราทำงานสุจริต เราต้องการโต ต้องการทำงานหาเงินเอง จ่ายค่าบ้านเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง ขอให้เราได้ทำในสิ่งที่ชอบก่อนได้มั้ย เพราะอาชีพนี้คืออาชีพในฝันตอนเด็กๆ นั่นแหละ พ่อแม่ถึงได้หยุดบ่น ปล่อยให้เรามาทำตามฝัน

ถามว่าเงินมันแย่มั้ย ถ้าทำสายการบิน Regional สายการบินเล็กๆ เงินน้อยจริงค่ะ แต่ถ้าทำ Mainline สายการบินใหญ่ๆ พวก Delta, United, American Airlines คือเงินมันค่อยข้างดีนะ สมมุติเริ่มแรกได้ชั่วโมงละ $27 บวก per diem $2 ตีคร่าวๆ เริ่มต้นชั่วโมงละ $29 คือ ถ้าทำงานอย่างอื่นเค้าได้กันแค่ชั่วโมงละ $10-15 เหรียญ แล้วพวกรุ่นป้าได้ชั่วโมงละ $70 เหรียญงี้ คือเงินดีนะคะ แถมได้เที่ยว ได้สวัสดิการอย่างอื่น แต่ของสายการบินเล็กนี่เราไม่แน่ใจว่ายังไง

อย่างที่บอกว่าทุกอย่างก็มีข้อดีข้อเสียอะค่ะ ทำงานประจำก็ใช่ว่าจะเลิศเลอเพอร์เฟค ทำงานรัฐบาลก็ใช่ว่าจะมั่นคง จะสบาย ทำธุรกิจก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป Do what you love, love what do you.

เดี๋ยวไว้จะมาเล่าประสบการณ์ตอนไปบินให้ฟังนะคะ Bye.

หมายเหตุปิดท้าย : สายการบินทางฝั่งอเมริกาจะแตกต่างจากฝั่งเอเชียและตะวันออกกลางมากจริงๆ ครับ เพราะสายการบินในเอเชียและตะวันออกกลางจะเน้น “การบริการเลิศ ความปลอดภัยเยี่ยม” การฝึกฝนจะนานกว่าทั้งด้านความปลอดภัยในช่วงแรก การสร้างแบรนด์ของบริษัท (ความเป็นตัวแทนสายการบิน ตัวแทนชาติ การแต่งตัว เสื้อผ้า หน้าผม) และการบริการชั้นเลิศ เราจึงเห็นว่า สายการบินในเอเชีย อย่าง สิงคโปร์แอร์ไลน์ การูด้า อินโดนีเซีย สายการบินไทย มาเลเซียร์แอร์ไลน์ ได้ถูกยกย่องเป็น “สายการบินบริการยอดเยี่ยม” ในหลายปีต่อเนื่อง รวมทั้งสายการบินในตะวันออกกลาง อย่าง กาตาร์แอร์เวยส์ เอมิเรตส์ ก็ติดอันดับ TOP 10 แต่ไม่มีสายการบินในอเมริกาอยู่ในอันดับต้นๆ เลย

Loading

About Post Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error

Enjoy this blog? Please spread the word :)