foto1
ความงดงามการศึกษาไทย
foto1
เพื่อ?
foto1
ไม่เข้าใจ?
foto1
วิทยากรที่กระทรวงศึกษาธิการ สปป.ลาว
foto1
ท่องทะเลทรายที่ดูไบ UAE


Friendly Links

เรียนรู้ภาษา html
isangate banner
easyhome banner
ipst banner
sakdibhornssup foundation
13 Thai free fonts
speedtest
e mil

Facebook Likebox

No. of Page View

edthai revolution

thai children 01ารศึกษาไทยได้เวลาต้องปฏิวัติได้แล้ว หลังจาก ที่พยายามปฏิรูปกันมานานนับ ๑๐ ปีแล้วไม่เกิดมรรคผลใดๆ นอกจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร ตำแหน่งและแย่งเก้าอี้กันจนชุลมุน การศึกษาไทยเข้าสู่ยุคแห่งความตกต่ำ ปรากฏผล จากการประเมินของหน่วยงานทั้งภายในประเทศ และองค์กรนานาชาติเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เอาแค่ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน เมื่อก่อนไทยเราดูเหมือนจะเป็นผู้นำก้าวล้ำกว่าใคร แต่วันนี้กลับไปรั้งท้ายๆ เป็นไปได้อย่างไร?

แล้วเราก็จะได้เห็นเจ้ากระทรวง ผู้บริหารระดับสูงในกระทรวง นักวิชาการจากสำนักต่างๆ ดาหน้าออกมาโทษครู ต้องอบรมพัฒนาครูแบบเข้มข้นเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ยังไม่เห็นสักคนเลยที่มองว่า ความผิดพลาดล้มเหลวทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากการบริหารงานโดยผู้บริหารที่ทำงานล้มเหลว... จริงหรือเปล่า? โปรดคิดพิจารณา วิเคราะห์ ก่อนตอบนะครับ...

ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนนั้นมาจากแม่พิมพ์ที่บิดเบี้ยว แม่พิมพ์ที่บิดๆ เบี้ยวๆ นั้นล้วนเกิดมาจากนโยบายที่พลิกผัน ทุกครั้งจากการเปลี่ยนเสนาบดีที่ต้องการผลงานเพียงข้ามวัน ถ้าทุกคนจะรู้จักยืดอกยอมรับความจริงที่ว่า ทุกๆ คนล้วนเป็นสาเหตุให้นักเรียนเป็นแบบนี้ แล้วร่วมมือกันแก้ปัญหาที่สาเหตุ ทุกอย่างก็น่าจะคลี่คลาย ไม่ใช่ทำเหมือนเห็นหมาตายลอยน้ำมา ลอยไปหน้าบ้านใครก็ผลักไสไปทางอื่น ไม่ยอมเก็บกวาดเอาไปฝัง สุดท้ายก็เน่ากันทั้งคลอง!! เน่าเหมือนการศึกษาไทยในวันนี้ (ขอบคุณน้องKittin Phansena สำหรับย่อหน้านี้)

อยากจะบอกกับคุณครูทุกๆ ท่านว่า การศึกษาแห่งอนาคตมีแค่ ๓ เป้าหมาย (สรุปมาจากวีดิทัศน์ช้างล่าง ที่อยากแนะนำให้ดู) คือ

  • อ่านให้รู้เรื่องแตกฉาน เขียนบันทึกความรู้ที่ได้รับให้ครบถ้วน
  • ค้นคว้าหาความรู้ให้เป็นทั้งจากครอบครัว ชุมชน โรงเรียน สังคมรอบตัว เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  • มีวิจารณญาณในการกลั่นกรอง คัดเลือกองค์ความรู้ ออกจากขยะข้อมูลมหาศาลในโลกใบนี้ นั่นคือการศึกษาแห่งอนาคตที่แท้จริง

{youtube}3Ld3sPaLxks{/youtube}

วันนี้ขอนำเอาบันทึกของท่านอาจารย์ ดร.สุพักตร์ พิบูลย์ มาให้อ่านกันหน่อย น่าสนใจและน่าจะเอาไปดำเนินการโดยเร็วครับ ดังนี้...

ในช่วงนี้ (ยุค คสช. 22 พ.ค.57) ได้มีข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปการศึกษาหลายลักษณะ  ประเด็นหนึ่งที่เห็นตรงกัน คือ การปฏิรูปครูและกระบวนการจัดการเรียนการสอน... ในการนี้ พบว่า คณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ และนักวิชาการ หลายท่าน ได้ร่วมกันแสงทัศนะในแง่มุมที่คล้ายคลึงกัน.... ผมเองคิดว่า ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องรับผิดชอบร่วมกัน อย่ามองไปที่โรงเรียน/สถานศึกษา แล้วเสนอแนะให้ปฏิรูปการเรียนการสอนกันเพียงแง่มุมเดียว  ถ้าจะปฏิรูปครูและการเรียนการสอน ผมคิดว่าควรทบทวนและปฏิรูปในประเด็นต่อไปนี้

  1. ปฏิรูปกระบวนการผลิตครู : อาทิ
  • ทบทวนสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับครูยุคใหม่  ตามมาตรฐาน TQF
  • ประเมินสมรรถนะ ก่อนเสนออนุมัติปริญญา (Exit Competency Evaluation) นักศึกษาครูที่ไม่ผ่านการประเมินสมรรถนะตามเกณฑ์ ไม่ควรเสนอสภามหาวิทยาลัยเพื่ออนุมัติปริญญา
  • ควบคุมสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร  บัณฑิตครูที่สำเร็จปี 2558 เป็นต้นไป ต้องพูดสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่อง  ไม่ควรผลิตบัณฑิตครูที่ไม่สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้อีกต่อไป
  • ทบทวนกระบวนการจัดการเรียนการสอนของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์  ให้เป็นการสอนแบบอิงสมรรถนะ และเน้น Problem-based/Project-based Learning อย่างแท้จริง พลิกแนวการสอน (ยกเลิก) ที่สอนแบบอิงเนื้อหา อย่างเช่นปัจจุบัน
  • พัฒนาระบบติดตาม-ประเมินสมรรถนะบัณฑิตที่เข้าสู่ระบบโรงเรียน (อาจมอบหมาย สมศ.ประเมินผลผลิตของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์) แล้วจัดอันดับคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ เป็นเกรด A B C  ตามระดับคุณภาพบัณฑิต  คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ที่ไม่ผ่านเกรด B จะต้องลดจำนวนการผลิตลง จนกว่าจะมีคุณภาพระดับ เกรด B
  1. ปฏิรูประบบส่งเสริมครู ในช่วงเริ่มต้นชีวิตการเป็นครู (Beginner) : อาทิ
  • กำหนดมาตรฐานการสอน และประเมินมาตรฐานการสอน ทุกปี ในระยะ 5 ปีแรก
  • ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ 1 รายการนวัตกรรมสำคัญ ต่อ 1 ภาคเรียน ต่อคน.. ถือเป็นเงื่อนไขบังคับ
  • ให้ครูบรรจุใหม่มีสิทธิ์ในการเสนอโครงการวิจัยและพัฒนา ในลักษณะโครงการแลกเป้า  เช่น ในแต่ละภาคเรียนสามารถเสนอโครงการแลกเป้าได้ในวงเงิน 50,000 บาท เป็นการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ในขณะเดียวกัน เป็นการช่วยค่าครองชีพไปด้วย ในช่วงที่เงินเดือนยังน้อยๆ (เดือดร้อนเรื่องค่าครองชีพ)
  • กำหนดเงื่อนไข ส่งเสริมให้เรียนต่อปริญญาโทสาขาหลักสูตรการสอน  ใครจบ ป.โทหลักสูตรการสอน นอกจากได้รับการปรับวุฒิแล้ว จะต้องได้รับค่าตอบแทนรายเดือนเพิ่มเติมในฐานครูผู้สอนที่มีสมรรถนะสูง(หาก จบปริญญาโทสาขาอื่น เช่น ป.โท บริหารการศึกษา อาจปรับวุฒิให้อย่างเดียว แต่ไม่มีค่าตอบแทนชำนาญการสอน)
  • ผลักดัน ส่งเสริมให้เป็นครูมืออาชีพภายใน 9-14 ปี กล่าว คือ ภายใน 9 ปี ควรก้าวสู่การเป็นยครูชำนาญการพิเศษ  และ 14 ปี ก้าวสู่การเป็นครูเชี่ยวชาญ(คศ.4)
  1. ควบคุมคุณภาพการสอนและการปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับวิทยฐานะ : อาทิ
  • ประเมินมาตรฐานการสอนทุก 1-3 ปี ครูที่ไปคะแนนการประเมินระดับดีมาก ประเมินซ้ำทุก 3 ปี ครูระดับดี ประเมิน ทุก 2 ปี ครูที่มีคุณภาพระดับพอใช้/ปานกลาง ให้ประเมินซ้ำทุกปี
  • เน้นกระบวนการสอนแบบ Problem-based :
    - นักเรียนระดับประถมศึกษา Problem-based คือ เน้นการประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนาตนเอง-ดูแลตนเอง-จัดการตนเอง เป็นหลัก
    - นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น Problem-based คือ เน้นการจัดการปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับครอบครัว
    - นักเรียนระดับชั้นม.ปลาย Problem-based คือ เน้นการจัดการเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาชุมชน-สังคม
  • กำหนดเงื่อนไข ครูวิทยฐานะ คศ.3-4 ต้องทำหน้าที่ครูแกนนำในการพัฒนาการเรียนการสอน โดยกำหนดเงื่อนไข ให้นำเพื่อนครูใหม่ ครู คศ.1-2 หรือนักศึกษาฝึกสอน อย่างน้อย 3-5 คน ต่อภาคเรียน สำหรับครู คศ.3 และ 10-15 คน ต่อภาคเรียน สำหรับครู คศ.4..โดยจะต้องประเมินผลงานตนเองและจัดทำรายงานการประเมินตนเองเอง เมื่อสิ้นปีการศึกษาและผ่านการประเมิน/รับรองจากคณะผู้ประเมินที่โรงเรียนจัดตั้งขึ้น
  • พิจารณาระบบตอบแทนครูตามระดับคุณภาพการสอน อย่างเหมาะะสมกับค่าตอบแทน เช่นในกรณีของครูอัตราจ้าง หากสอนอย่างมีคุณภาพ ผ่านการประเมินคุณภาพระดับดี-ดีมาก จะต้องได้รับการพิจารณาค่าตอบแทนเป็นกรณีพิเศษ เหมาะสมกับภาระงาน
  1. ปรับระบบดูแล-ส่งเสริม-ควบคุมวิชาชีพครู : ควรจะยุบ คุรุสภา สกสค. และ ก.ค.ศ. แล้วจัดตั้งเป็นสภาวิชาชีพครู ที่ประกอบด้วยกรรมการสภาไม่เกิน 40 คน (ไม่มีเงินเดือนประจำ) เพื่อลดเงินเดือนของบุคลากรกลุ่มนี้ ประมาณ 2 หมื่นล้าน ต่อปี นำไปใช้เพื่อการพัฒนาการเรียนการสอนโดยตรง กรรมการสภาวิชาชีพ จะทำหน้าที่ควบคุมวิชาชีพครู ในลักษณะที่มีตัวอย่าง เช่น สภาการพยาบาล แพทย์สภา สภาวิศวกรรมฯ ฯลฯ

มื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา พลันที่ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นางสุทธศรี วงษ์สมาน ได้หยิบยกเอาเรื่อง สมุดบันทึกความดี (มาเปลี่ยนชื่อเสียหรูว่า "พาสปอร์ตความดี") ว่าจะนำมาใช้กับนักเรียน นักศึกษาทุกระดับ ให้บันทึกความดีของตน บันทึกความดีสิ่งที่ทำในทุกวัน ซึ่งเด็กทุกคนจะเขียนความดีที่ตัวเองได้ปฎิบัติในแต่ละวันว่า มีอะไรบ้างลงในสมุดพกความดี โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนหรือครูผู้สอบเซ็นรับรองให้ และคิดจะนำไปใช้ประกอบเป็นส่วนหนึ่งในเกณฑ์รับเข้าเรียน หรือศึกษาต่อด้วย เสียงกระหึ่มไม่เห็นด้วยในสังคมออนไลน์ฟังกันแทบไม่ทันเลย ต้องบอกว่าหูชาเชียวละ ลองมาดูวีดิทัศน์นี้เสียก่อนครับ ผลงานของนักเรียนเขาคิดอย่างไร? ดูให้จบแล้วจะเข้าใจทำไมเสียงค้านถึงมากมายขนาดนั้น จะขอบคุณมาก... ถ้าจะมีใครนำไปให้คุณป้าปลัดกระทรวงได้ดูด้วย

{youtube}HtXqJ8-X6wE{/youtube}

ตรรกะง่ายๆ ครับ การทำความดีนั้นเป็นการกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นการกระทำอัตโนมัติที่ไม่คิดหวังผลตอบแทน จึงไม่ต้องมีการบันทึกสิ่งเหล่านี้แต่มันจะปรากฏขึ้นเองให้สังคมเห็นว่า เขาคือคนดี เขาคือคนที่ควรยกย่อง ถ้าใครก็ตามที่กระทำสิ่งใดลงไปแล้วเอาไปตีฆ้องร้องป่าวเขาเรียกว่า "ทำบุญเอาหน้า" "หน้าไหว้หลังหลอก" ครับท่าน กระแสสังคมเขาถึงไม่ยอมรับกัน

ed revolution 01

ด้านซ้าย - ปลัดกระทรวงศึกษาฯ ผู้เสนอให้ยัดหลักสูตรคุณธรรมจริยธรรมตามแบบ คสช. และสมุดพกความดีเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนด้านขวา - โดโลเรส อัมบริดจ์ (อดีต) รักษาการ ผอ.ฮ็อกวอตส์ จากกระทรวงเวทมนตร์ (เครดิตภาพ: Ophat Taerattanachai)

ed revolution 03เมื่อ ๕ หรือ ๖ ปีก่อน มีการพิมพ์แจกครูให้บันทึกความดีเพื่อแลกเอาสองขั้น (ผมอดีตครู สพฐ. ได้เห็นแต่ไม่เขียน เล่มหน้าปกสีเขียว ใครจำได้บ้าง) ได้เวลาส่งไปกองรวมกันในห้องประชุมพิจารณา ไม่เห็นมีใครดู (ยืนยันได้เพราะผมก็เป็นกรรมการ) มีแต่ ผอ.ถามหัวหน้างานว่า "ปีนี้จะให้ใคร" อ้าว! แล้วค่าน้ำหมึกล่ะ เขียนมาตั้งเยอะ ปรากฏว่า คนที่ได้สองขั้นปีนั้นบันทึกอยู่สองวัน (๒ หน้า) คนที่บันทึกมากมาย พื้นที่ไม่พอความดีเยอะมาก จนต้องติดกระดาษ A4 เสริมเข้าไป เอาไปหนึ่งขั้น ฮ่วย!

พอให้เด็กเขียนคราวนี้ก็จะมีความ
ดี แบบกระจอกๆ (เก็บเศษกระดาษห่อขนมนิดหนึ่ง เอาถังขยะไปเท ไปซื้อข้าว/น้ำที่โรงอาหารให้ครู) หรือไม่ก็ไประดมเขียนในวันใกล้จบการศึกษา ลอกๆ สลับกิจกรรมนิดหนึ่ง หอบไปให้ครูรับรอง (แล้วครูจะฝันเห็นความดีนั้นไหม?) ครูบางคนอาจจะไม่รับรองให้ (ครูไหวใจร้าย) แต่ก็จะมีคุณครูที่รำคาญมากๆ ทนไม่ไหวรับรองให้ส่งเดช เขียนด้วยมือก็ไม่ไหวต่อไปก็ตรายาง หนักๆ เข้าเอ็งปั๊มเองเลยบนโต๊ะนั่น แล้วจะวัดอะไรได้ครับถามจริง...

หลายๆ โรงเรียนเขาก็ให้นักเรียนบันทึกกัน แต่ไม่ใช่บันทึกความดีที่ว่า เป็นบันทึกการร่วมกิจกรรมจิตอาสา (หลายหน้ากระดาษ) การเข้าร่วมฟังการประชุม สัมมนาทางวิชาการ การเสวนาปัญหาของชุมชนในท้องถิ่นตน สรุปข้อคิดจากการอ่านหนังสือ ๑๐๐ เล่มต่อปี ร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางพุทธศาสนา เป็นต้น อย่างนี้ซิดีด้วยใจอันเป็นกุศล มีประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น นักเรียนเอาไปใช้ประโยชน์ทำเป็นข้อมูลส่วนตน (Profile) สำหรับการสัมภาษณ์เข้าเรียนในบางคณะวิชาระดับมหาวิทยาลัย แต่บันทึกแบบข้างล่างนี่ก็ไม่ไหวนะ

ed revolution 02

ขอบคุณภาพจากเจ้าของภาพทุกท่านนะครับ แหม่ๆ เด็ดๆ ทั้งนั้นเลย

นาทีนี้... สิ่งที่ควรส่งเสริมให้นักเรียนไทยเขียนคือ เรียงความ ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ หรือย่อความ จากหนังสือความรู้ สารคดีที่สนใจ ที่อ่านมาแล้ว ส่วนสมุดความดีนั้นควรส่งให้ สส. (นักการเมืองทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ส.อบจ. ส.ท. ส.อบต.) เขียนเถอะ อ้อ... หรือคุณป้าปลัด ศธ. จะลองเขียนดูทุกวันก็ได้นะ เชื่อผมเหอะ! ปิดท้ายด้วยความเห็นของหลวงพี่ที่ถูกใจเหลือเกิน

image

 

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

Our Policy