ประสบการณ์ชีวิตบนเรือสำราญ

วันนี้ ขอนำเอาประสบการณ์ของชายหนุ่มคนไทยคนหนึ่ง ที่เคยทำงานเป็น “สจ๊วต” กับสายการบินเอมิเรตส์ แล้วมีปัญหา (ด้วยเรื่องสุขภาพส่วนตัว) แล้วลาออกไปสมัครงานเป็น “ลูกเรือ” จริงๆ คือ ลูกเรือสำราญขนาดใหญ่ ที่ท่องเที่ยวในน่านน้ำต่างๆ ทั่วโลก ว่ามีชีวิตต่างจากการทำงานบนเครื่องบินอย่างไร หนุ่มคนนี้ขอสงวนปกปิดนามตัวเอง รูปภาพ และบริษัทที่ทำนะครับ ด้วยเหตุผลบางประการ แต่ก็เล่าประสบการณ์ได้ละเอียดดี เผื่อน้องๆ ที่สนใจอยากทำบ้างจะได้เตรียมตัวกันครับ

ทำงานเรือสำราญ “รายได้ดี” จริงไหม?

ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ตั้งแต่เริ่มเลยนะครับว่า ผมได้ทำงานบนเรือสำราญมาแล้วระยะหนึ่ง ถึงได้มาเขียนรีวิวให้พวกคุณได้อ่านกัน ผมจะขอข้าม “กระบวนการการเตรียมตัว การสมัคร การสัมภาษณ์” ออกไปเลยนะครับ เพราะข้อมูลเหล่านั้นคงจะหากันได้ทั่วไปตามที่ต่างๆ นะครับ ในอินเทอร์เน็ตมีเยอะ มาเรามาเข้าเรื่องกันเลย

ผมศึกษาจบปริญญาตรีและโท ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เรียนจบก็ไปทำงานอยู่ที่ ดูไบ เป็นลูกเรือสายการบินแห่งหนึ่ง (คงเดาออก) ผมอยู่ได้ 2 ปี ก็ลาออก เนื่องด้วยปัญหาส่วนตัว คือ ไม่ชอบทำงานในที่แคบๆ ซึ่งตอนแรกไม่รู้ตัวเอง แต่พอทำไปเรื่อยๆ เป็นปี สองปี ก็รู้และมั่นใจว่า มันแคบและไม่สนุกเอาซะเลย ยิ่งวันไหน แลนด์ใกล้ๆ (อย่างในประเทศข้างบ้านตะวันออกกลาง หรืออินเดีย บินเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงก็ถึงแล้วก็บินกลับ ไม่ได้ลงไปเหยียบแผ่นดินเขาด้วยซ้ำ) ต้องอยู่บนเครื่องบริการผู้โดยสารเป็นเวลานานๆ เราก็เริ่มอึดอัดมากขึ้น

ย้ำนะว่า “เป็นปัญหาส่วนตัวของผมเอง” เคยเลือดออกจมูกด้วย บางช่วงบางตอนก็หูดับไปข้างหนึ่งเฉยๆ เลย ไม่ได้ยินเสียง หูอื้อ กว่าจะหายก็นานทีเดียว เฮ่อออ… เราก็เลย เฟดตัวเองออกมาดีกว่า ก็เลยได้มาสมัครงานในเรือสำราญกับเพื่อนที่บริษัทจัดหางานในกรุงเทพฯ ใครอยากรู้ก็ไปหาข้อมูลเอานะครับ ค้นหาใน Google มีให้เลือกมากมายครับ ผมขอข้ามเลยแล้วกัน

โอเค รู้จักตัวตนผู้เขียนคร่าวๆ แล้วนะครับ เรามาเริ่มกันเลย ผมทำงานบนเรือสำราญเป็นครั้งแรกในชีวิต ความรู้สึกของการมาถึง เรือ ยังไม่ได้ขึ้นนะ โหยยย… ยุ่งยากมากกกกก… (ก.ไก่ ล้านตัว) ตรวจชื่อ รับเอกสาร ตรวจกระเป๋า รอไป… สักพัก ก็ได้เดินขึ้นเหยียบเรือสำราญ จะมีคนมารอรับเรา แล้วแต่ว่า “เราอยู่แผนกไหน คนของแผนกนั้นจะมารับเราไป” เริ่มเลยก็พาเดินไปห้องพัก แหม๋… ทางที่เดินไปนี่คือ เดินซ้าย เดินขวา วกไป วนมา แบกกระเป๋า ลงบันไดแคบๆ แนะนำคนที่จะมาทำงานนี้นะ ให้เอากระเป๋าใบเล็กมาจะดีมาก สบายตัวเรา

แต่ก็อย่างว่า ต้องเตรียมเสบียง (อาหารที่เราโปรดในเมืองไทย กันโหยหา) มาให้พอ 8 เดือน สินะ งั้นก็ตามสะดวกกันเลยนะ พอมาถึง ก็เอาของเก็บ ยังไม่ได้เอาของออกจากกระเป๋าเลย จะต้องไปรับชุดพนักงานแล้ว จากนั้นก็เอาไปรีดเสียก่อนก็ดีเพราะจะต้องใส่เลย ทำงานเลยยยยยยยย… ฮ่าๆๆ คือขึ้นเรือมาแล้ว คุณต้องทำงานเลยนะจ๊ะ จะมาขอตัวไปอาบน้ำ นอนพักสักสองสามชั่วโมงก่อน… เดี๋ยวๆ ตื่นครับ !!!

รีบเปลี่ยนชุดไปทำงานเลย วันแรกก็จะไม่มีอะไรมาก เค้าก็สอนงานให้เราตามแผนกที่เราสมัคร เพื่อนร่วมงานก็เป็นต่างชาติทั้งนั้น ดีบ้าง ร้ายบ้าง ตามประสามนุษย์ขี้เหม็นนี่แหละ ก็เรียนรู้งานกันไป ช่วงอาทิตย์แรกที่ขึ้นเรือ จะต้องตามล่าลายเซ็นต์ของพวกเมเนเจอร์โน่นนี่นั่นนะ แผนกต่างๆ เช่น แผนกรักษาความปลอดภัย แผนกฝ่ายบุคคล แผนกสิ่งแวดล้อม เป็นต้น คือเค้าจะมีเทรนให้เราได้รู้งานในแต่ละแผนก แล้วเค้าก็จะเซ็นชื่อกำกับในเอกสารให้เรา ต้องให้ครบตามกำหนดด้วยนะ มิเช่นนั้น กลับบ้านไปเลย!! เตือนแล้วนะ !!! โหดไหม?

มีให้สอบด้วย ก็มีหลายหัวข้อเหมือนกัน ก็ต้องทำให้ครบมีใบประกาศรับรองให้ ข้อมูลการสอบของเราก็จะถูกส่งไปยังฝ่ายบุคคล เป็นอันเสร็จสิ้นเรื่องความรู้ที่ต้องมี ตรงนี้เราต้องหาเวลาว่างมาทำเองนะ คือ นอกเหนือเวลางานอ่ะ แบบว่า ทำงานเหนื่อยๆ ก็ต้องแบกร่างมาทำข้อสอบให้เสร็จ ไม่งั้นก็ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไป โอ้ย โหดไปจริงๆ นะเนี่ย เพื่อนผมทำเท่าไรๆ ก็ไม่ผ่าน บางอันผ่าน บางอันดันไม่ผ่าน เค้าก็จดที่ไม่ผ่าน มาให้ผมช่วยทำให้ แล้วเขาก็เอาไปตอบในเครื่องคอมพิวเตอร์เอง เอ้อ… ช่วยๆ กันไป

อยู่ได้มาสักอาทิตย์ เริ่มคิดว่า “ผมมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย เหนื่อยมั้ย เหนื่อยนะ” คือคงจะ ไม่มีงานไหนหรอกที่ไม่เหนื่อย แต่ที่ผมเครียดคือ “สังคม ที่ผมไม่เคยเจอ” มันคนละโลกกับที่ผมทำงานเป็นสจ๊วตเลย ที่นี่เป็นงานบริการที่เน้นความไวมากกว่าใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งช่วงแรกนั้น “ผมช้ามาก ช้าจนโดนติ เพราะผมต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกท่าน” หลังๆ เริ่มปรับตัวได้ ทำได้ไวมากขึ้น คิดรอบคอบมากขึ้น ทำงานทีเดียว ไม่ทำซ้ำไปซ้ำมา เพราะต้องรักษาเวลา ลักษณะงาน ขึ้นอยู่กับว่า คุณทำงานในตำแหน่งอะไร แผนกอะไร

ผมขอเล่าลักษณะงานของผมนะครับ เพราะผมผ่านมาจริง ผมทำงานอยู่ห้องอาหาร เช้าก็จะเป็นบุฟเฟ่ต์ ก็ไม่มีอะไรมาก เก็บจาน เช็ดโต๊ะ เสิร์ฟน้ำ ถามลูกค้าว่า “จะรับน้ำอะไร ชามะนาว น้ำส้ม น้ำเปล่า ชา กาแฟ” จากนั้นก็เดินไปมา คอยดูคอยบริการ แล้วเย็นก็จะเป็นการบริการแบบดินเนอร์ ที่จะเป็นทางการมากขึ้น มาจัดอาหารแบ่งเป็นคอร์ส หลากหลายคอร์ส เนื้องานก็จะมีมากขึ้น ต้องมีความรู้เรื่องอาหารนั้นๆ ส่วนผสมในอาหาร เพราะถ้าลูกค้าแพ้อาหาร เราจะสามารถแนะนำให้ลูกค้าได้ อันนี้สำคัญนะ ถ้าใครยังไม่รู้ว่า การแพ้อาหารมีอะไรบ้างก็ลองๆ หาที่ Google กันนะครับ มาเยอะเลยแหละ เพราะมันมีมากกว่าการแพ้อาหารอีกนะครับ บางคนเป็นเบาหวาน บางคนหมอสั่งห้ามกินโน่นนี่ ไรงี้ ไปหาเป็นข้อมูลให้ตัวเองนะครับ เพราะจะช่วยในการสัมภาษณ์งานของพวกคุณด้วยนะ

ว่าด้วยเรื่องตารางเวลาทำงาน ที่บริษัทเรือนี้ ห้ามทำงานเกิน 11 ชั่วโมงต่อวัน น้อยกว่านี้ได้ ตารางงานส่วนมากจะเหมือนกันจนจบทริป 1 ทริป เช่น ทริปนี้ ล่องเรือ 10 วัน เราเข้ากะเช้า เราก็จะได้เข้ากะเช้าตลอดทั้งทริปนั้น แต่คนที่ทำห้องอาหาร จะต้องทำดินเนอร์ทุกคนนะ นั่นคือ ถ้าคุณเข้ากะเช้า จะต้องไปพักเบรค (พักผ่อน นอนเอาแรง หรือไปเที่ยวแถบนั้นก็ได้) แล้วมาเข้างานต่อเวลาเย็น ถ้าเข้ากะบ่ายก็ยาวไปจนเลิกงาน เข้าใจตรงกันนะ

ขอขยายอีกนิดให้เข้าใจกันง่ายๆ เช่น ถ้าเข้างาน 07:00 – 11:00 น. เช้านะ แล้วก็ไปพัก หรือจะไปเที่ยวก็แล้วแต่คุณ จากนั้นก็กลับมาเข้างานต่ออีกในช่วงเวลา 17:00 – 22:00 น. รวมๆ ก็จะทำงานวันละ 9 ชั่วโมง มากน้อยกว่ากันไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง บางวันผมก็ทำงาน 6 ชั่วโมง แล้วแต่เงื่อนไขของทางเรือลำนั้นๆ เป็นต้น ต้องบอกเลยว่า ทำงานไม่มีวันหยุดนะ ทำทุกวัน ผมคิดว่า แรกๆ ผมต้องเตรียมตัวนาน แบบว่า เข้างาน 7 โมง ต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมง เพื่ออาบน้ำแต่งตัว กินข้าว หลังๆ เริ่มปรับตัว เตรียมชุดทำงานของวันพรุ่งนี้ ไว้เลย

เข้างาน 7 โมงเช้า ตื่น 6.30 อาบน้ำแต่งตัว เดินไปทำงาน 5 นาที รถไม่ติด (ก็อยู่บนเรือนี่นะ) เอาจริงๆ ถ้าเทียบกับทำงานปรกติใน กทม. ทำงาน 7 โมงเช้า คือต้องตื่นตั้งแต่ ตีห้า อาบน้ำแต่งตัว ใช้เวลาอยู่บนท้องถนน ฝนตก รถติด บางช่วง โอ้ยยย บั่นทอนการทำงานเป็นอย่างมาก แถมเวลาเลิกงานก็ต้องอยู่บนท้องถนนอีก กี่ชั่วโมงถามจริง!! นับรวมๆ แล้ว 1 เดือนผมทำงาน 10 ชั่วโมง คือ 10 ชั่วโมงจริงๆ แต่ถ้าทำงานปรกติ ทำงาน 10 ชั่วโมงก็จริง แต่การเดินทางไปกลับนี่ก็หลายชั่วโมงอยู่นะ กว่าจะได้เอนตัวลงนอน ลองนับลองบวกลบคูณหารเอากันเองนะครับ เพราะสถานที่ทำงานของแต่ละคนใกล้ไกลไม่เท่ากัน

ผมจะขอพูดว่า “ปัจจัยอะไรที่จะทำให้คนอยู่ทำงานบนเรือไม่ได้ ก็สังคมของการทำงานนี่แหล่ะ” ตอนแรกผมขึ้นเรือไปกับเพื่อนคนไทยด้วยกัน ผมกับเพื่อนอีกคนอยู่ห้องอาหารเดียวกัน เพื่อนผมเป็นคนที่เข้มแข็งมาก มันบอกว่ามันผ่านอะไรมาเยอะ แบบนี้กระจอกมากสำหรับมัน ส่วนผมเครียดทุกวันหลังเลิกงาน ก็จะมานั่งกินนั่งคุยกันที่บาร์ของลูกเรือ มันก็ช่วยผมตลอดจนผมเข็มแข็งขึ้นมามาก เริ่มเปลี่ยนทัศนคติ เริ่มคิดว่า “ไม่มีใครบังคับผมมา ผมมาของผมเอง” มองให้ชิน เข้าใจระบบงานให้มากขึ้น แต่ก็ยังตั้งอยู่ในพื้นฐานของความถูกต้อง ท้อมากช่วงแรก หลังๆ เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น มนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน ทั้งที่ทำงานและก็ลูกค้า ได้รับคำชมจากลูกค้า ซึ่งเป็นกำลังใจให้ผมมาก เพื่อนๆ ร่วมงานอยากทำงานกับเรา จนคนพวกนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราแล้ว มันก็ทำให้เรามีความสุขมากขึ้นกับการทำงานในทุกๆ วัน

เฮ่ออ… กว่าจะผ่านช่วง 2 – 3 เดือนแรกมาได้นะ ยากมากกกก… เชื่อเลยว่าทุกคนจะต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ไม่ใช่ใครอื่นเลยที่จะทำให้เราอยู่ไม่ได้นอกจากตัวเราเอง ผมขอเล่าว่า ตอนผมขึ้นเรือมา มีคนไทยด้วยกันทั้งหมด 8 คน อยู่จนจบสัญญาจ้าง (Contract) 7 คน ออกไป 1 คน เนื่องด้วยปัญหาทางสุขภาพ คือดีนะ น้องเขาป่วย เพราะออกไปเที่ยว Saint Petersburg ที่ประเทศรัสเซีย ไปเที่ยวแบบกลับมาตีสี่ แล้วอาการน้องก็ทรุด จนต้องไปนอนโรงพยาบาลที่ Copenhagen ประเทศเดนมาร์ก น้องนอนพักรักษาตัวเป็นระยะเวลาเกือบ 2 เดือน จนดีขึ้น แล้วน้องก็เลยขอกลับบ้าน เพื่อไปรักษาตัวก่อน

คือบริษัทเรือแห่งนี้ผมยอมเลยว่า “ดีมาก” ค่ารักษาน้องนี่หลักล้านนะครับ เพราะนอนโรงพยาบาล 2 เดือนเลย แต่ไม่ต้องจ่ายสักบาท แถมตอนกลับบ้านยังได้เงินเดือนที่ทำไว้ก่อนหน้าที่น้องจะป่วยอีกด้วย ซึ่งก่อนที่ผมจะมานั่งเขียนเรื่องนี้ น้องก็ได้ติดต่อมานะ บอกว่า ได้รับ e-mail จากทางบริษัทแล้วว่า ให้ไปเริ่มงานเดือนกรกฎาคมนี้ น้องก็หายดีแล้วด้วย ซึ่งที่ได้บรรยายมานั้นก็อยากจะบอกแค่ว่า “เค้าดูแลเราดีครับ” เป็นห่วงมาก แค่ปวดหัวก็รีบไปหาหมอเลย ทราบมั้ยครับว่า เพราะอะไร คือว่า เค้ากลัวว่า คนที่ไม่สบายจะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับคนบนเรือ แล้วจะกระจายไปจนยากต่อการควบคุมครับ ยิ่งถ้าอ้วก ถ้ายท้องนี่ไม่ต้องพูดถึงนะ พักไปเลย อาจถูกกักบริเวณด้วย

เรามาพูดถึงเรื่องเงินเดือนดีกว่า อยากรู้กันมั้ยครับว่า ทำงานเรือสำราญนี่ได้ “เงินเยอะ” สมกับที่คนเขาพูดกันหรือป่าว เอาเป็นว่า เริ่มจากว่า ระดับของรายได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เราทำด้วยนะครับ อยากได้เงินเยอะก็มาตำแหน่งสูงๆ สิครับ เงินเดือนเท่าที่ผมทราบคือ ก็เริ่มจาก 25k ไปจนถึง 300k-400k กันเลยทีเดียว แต่คุณต้องเป็นกัปตันนะ ฮ่าๆๆๆ หรือเป็นผู้จัดการก็ได้ เอาความรู้ความสามารถมาทำให้เค้าเห็นแวว เราก็ได้เลื่อนขั้นนะ ทำงานบนเรือเลื่อนขั้นไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย ขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลาที่เหมาะสม

ส่วนตัวผมก็ได้เงินเดือน ประมาณ 70K มากน้อยขึ้นอยู่กับ Service charge ของเดือนนั้นๆ นะ ยังไม่รวมเงินทิปที่จะได้ เคยได้สูงสุด ประมาณ 50k รวมกัน 1 เดือน สรุปรวมๆ ต่อเดือนก็จะได้เงินประมาณ 120K ดูเยอะมั้ย ทิปขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้านะครับ ยกตัวอย่างเพื่อนที่ไปด้วยกันทำงานแผนกเดียวกัน บางทริปก็ได้ทิป บางทริปไม่ได้เลยก็มี อยู่ที่เราให้บริการจนลูกค้าพอใจแค่ไหน ส่วนเงินเดือนก็ไม่ค่อยต่างมากกันเท่าไรครับ

ขอขยายความนะครับสำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่า 70k เป็นเงินเท่ากับเท่าไร ผมจะอธิบายเป็นตัวเลขนะครับ 70k (70 พัน) = 70,000 บาท ถ้า 120k (120×1,000) = 120,000 บาทครับ ได้เงินดีแต่ก็ต้องแลกกับหลายๆ อย่างครับ ไกลบ้านคนละซีกโลก คือเรือสำราญจะนิยมกันมากในแถบยุโรปตอนเหนือ อเมริกาทั้งตอนเหนือตอนใต้ นานๆ จะมาทางแถบเอเชียครับ เวลาต่างกับที่บ้านเรา แบบที่บ้านเช้าเราบนเรือก็มืด ที่บ้านมืดเราก็จะเช้า เวลาจะคุยกับแม่คือต้องตื่นสัก 6 โมงเช้า เพราะที่บ้านจะได้เวลาประมาณช่วง 6 โมงเย็นไรงี้ แล้วแต่ว่าใครจะมีวิธีการจัดการปัญหายังไงนะ

อินเตอร์เน็ตบนเรือมีมั้ย มีนะ แต่ต้องซื้อ… บางบริษัทก็ให้ฟรี แต่เรือที่บริษัทผมต้องซื้อ 40 ดอลลาร์ ใช้ได้นานเท่าไรไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่เยอะ ใช้ตอบแชทไลน์ คุยกับที่บ้าน แต่เค้าจะมีให้บัตรโทรศัพท์ฟรีตอนแรกที่ขึ้นเรือ เราก็โทรหาที่บ้านได้ โดยใช้โทรศัพท์บนเรือตรงไหนก็ได้ หรือจะในห้องพักเราเองก็ได้ แนะนำนะครับ ถ้าติดเน็ตมากๆ แบบชั้นต้องตาย ลงแดง ถ้าไม่ได้เล่นเฟส เล่นอินสตาร์แกรม ก็อาศัยเวลาเรือจอดท่าก็ลงไปแถวๆ ท่านั่นแหล่ะ มีไวไฟฟรี หรือก็ไปตามร้านกาแฟนั่งไปยาวๆ ส่วนผมก็ใช้คุยกับแม่ ไม่มีไรมาก ถ่ายรูปสวยๆ แต่ละประเทศ ลงเฟส ลงไอจี ก็พอแหล่ะ

“ทำงานเรือได้เที่ยวมั้ย” ตอบเลยว่า “ได้เที่ยวสิครับ จะไปไหนก็ไป อยากเดิน นั่งรถ ลงเรือ ทำได้หมด ขอแค่ไม่มีตารางงาน แล้วกลับมาให้ทันเรือออกก็พอแล้ว” ถามว่า ไม่มีเวลาลงเรือเพราะมีตารางงานช่วงนั้นช่วงนี้ ใจเย็นๆ เรือไม่ได้มารอบเดียวแล้วไปอีกซีกโลกหนึ่ง เค้าก็จะวนเวียนแถวๆ นั้นแหละสัก 1-2 เดือน ยังไงก็ต้องมีจังหวะลงไปเที่ยว สูดอากาศได้ชุ่มปอดแหล่ะครับ เวลาผมไม่มีงานตอนกลางวันนะ ก็ออกไปเที่ยวจนเหนื่อยแล้วกลับมานอนพักแล้วก็เข้างานเย็น ก็สนุกนะได้เที่ยวจริงไม่ต้องเสียค่าตั๋ว ค่าเดินทาง แต่ส่วนมากผมจะนั่งแท็กซี่ เพราะอยากทำเวลา ให้เร็ว เที่ยวได้เยอะๆ

ตอนนี้พักร้อนอยู่ครับกลับมาเยี่ยมบ้าน ใกล้กลับไปทำงานต่อแล้ว อีกไม่กี่วัน ครั้งที่แล้วเที่ยวยุโรปจนเบื่อ ครั้งนี้จะไปอีกซีกหนึ่งของโลก อาลาสก้า ยังไม่เคยไป ฮาวาย แม๊กซิโก บลาๆๆ พร้อมนะ แล้วคุณหล่ะ พร้อมแล้วหรือยัง

สุดท้ายนี้ถ้ามีอะไรผิดพลาดประการใด้ ผมต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะครับ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ กลับมาครั้งหน้า จะมาเล่าเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับงานเรือสำราญให้อ่านกันอีกที ไปแล้วครับ สวัสดีครับ

🙂 😀  😆  😛

Loading

About Post Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error

Enjoy this blog? Please spread the word :)