|
ช่วงหลังๆ นี่ไม่ค่อยได้อัพเดทเว็บเลย ยอมรับในความสับสนของนโยบายรายวันที่มาจากหอคอยงาช้าง แบบว่า "นายว่า ขี้ข้าพลอย" จะตรงตัวมากที่สุด ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับท่านผู้บริหารสูงสุดที่มาจากทหารนะครับ การเห็นด้วยแล้วแปลงไปสู่วิธีการปฏิบัติต้องใช้เวลาพอสมควร ต้องทบทวนย้อนหลังว่า "สาเหตุ" ที่เป็นปัญหานั้นมาจากอะไร ต้องปรับเปลี่ยนอย่างไร ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ จะเริ่มทันทีเลยได้ไหมโดยไม่กระทบส่วนอื่นๆ ถ้าไม่ได้เราควรมีขั้นตอนอย่างไร หนึ่ง สอง สาม ถ้ามีปัญหาในขั้นตอนนั้นจะต้องมีการแก้ไขจัดการอย่างไร ไม่ใช่นายพูด ลูกน้องงับแล้วก็เหวี่ยงต่อใส่ครู เฮ้ย.... แบบนี้ใครก็เป็นผู้บริหารระดับสูงได้สิ ทำไมไม่มีใครที่มีวิญญาณครู(บนหอคอย)ได้อธิบายให้ท่านผู้นำทราบบ้างว่า เราควรจะทำอย่างไรเป็นขั้นเป็นตอน นี่เป็นได้แค่เพียง Repeater เท่านั้นหรือ?
หรือจะเป็นดั่งนิทานอีสปเรื่อง "หนูผูกกระพรวนที่คอแมว" ไม่มีหนูตัวใดกล้าเอาลูกกระพรวนไปผูกคอแมว ทั้งๆ ที่มันจะส่งเสียงเตือนทุกครั้งที่แมวจะเข้ามาใกล้หนู หนีทันไม่โดนจับกิน ความคิดดี แต่หนูตัวไหนจะอาสาทำล่ะ! คงไม่ขนาดนั้นมั๊งครับ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แม้ท่านจะเป็นทหาร ต้องการเห็นผลในทันใด แต่ท่านก็ฟังเหตุผลอยู่ แล้วทำไมท่านถึงได้สั่งการเช่นนั้น ก็เพราะที่ผ่านๆ มา บรรดาหนูทั้งหลายเอาแต่วิ่งรอบเก้าอี้ไม่ทำสักทีนะซิ เลยต้องขึงขังสั่งการให้เก้าอี้ร้อนๆ กันหน่อย แบบว่า "ระบบราชการ ชอบ ไฟลันก้น" จริงไหมล่ะ? ต้นปีงบประมาณก็เรื่อยๆ เฉื่อยๆ แฉะๆ พอเข้าระยะ "มีนา เมษา สิงหา กันยา" นี่กระดี้กระด้ากันจัง แหมขยันขันแข็งกันใหญ่พอผ่านฤดูให้ความดีความชอบละผักลวกเชียว หรือจะเถียงว่าไม่จริง
เห็นข่าวการศึกษาไทยแล้ว ก็หัวร่อมิได้ ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ ที่บอกว่า ประเทศไทยปฏิรูปการศึกษามานานนับสิบปีนั้น มันเป็นเรื่องเสียเปล่า เสียทั้งเวลาและงบประมาณมากมายมหาศาล แน่นอนว่า "เงิน" งบประมาณที่หว่านลงไปนั้นล้วนผ่านตะแกรงร่อนสูญหายไปมากมายระหว่างทาง ไม่รู้ล่ะว่ามันไปเข้าพกเข้าห่อใครบ้าง ทิ้งไว้แต่ซากความเสียหายให้เห็นตำตาอยู่ทุกวัน ไม่เชื่อก็ลองไปดูเถอะครับ ไม่ว่าจะโรงเรียนบ้านนอก ในเมือง ที่ได้รับ "ครุภัณฑ์การศึกษา" ที่โรงเรียนไม่อยากได้ กองเป็นซากเต็มไปหมด ไม่รู้มันมาได้อย่างไร?
ดูข่าวเรื่องระดับมาตรฐานการศึกษาไทยที่มีการประเมินทั้งแบบจริงจัง แบบกวาดตาผ่านล้วนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า "รูดทะราดต่ำเรี่ยติดดินในอาเซียน" อนาถใจจริงๆ ครับ ก่อนจะกล่าวถึงว่า "เราควรทำอย่างไรดีในสถานะการศึกษาไทยที่ตกต่ำเยี่ยงนี้?" ขอนำบทความเรื่องการศึกษาที่หลายคนอ่านแล้วน้ำตาซึม มีที่มาจากบทความในนิตยสารจีนฉบับหนึ่ง ที่เพื่อนผู้ปรารถนานีคัดลอกมาให้อ่าน เลยขอส่งต่อมายังที่นี่ด้วยครับ ตามหัวข้อเลย "พ่อที่ไม่รู้จักหนังสือสักตัว..."
วันนี้ขอลอก "บันทึก" ของตัวเองที่เขียนไว้ในเฟซบุ๊คส่วนตัวมานำเสนอ และเพิ่มเติมความคิดเข้าไปอีกบางส่วนนะครับ เพื่อให้ทุกท่านได้พิจารณาแก้ปัญหาช่วยกัน
ตอนนี้คงจะไม่มีใครปฏิเสธถึงความล้มเหลว ในการจัดการศึกษาไทยได้แล้วว่า "ต้นตอมาจากครู" อย่าเพิ่งเริ่มต้นด่าผมซิครับ ถ้ายังอ่านไม่จบ ลองอ่านและพิจารณากันดูนะครับ ไม่ตรง ๑๐๐% ก็ใกล้เคียงล่ะ ไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยละ ๙๐ ด้วย
"ครู" นิยามนี้เหมารวมหมด ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงในกระทรวง ไล่เรียงลงมาจนถึงครูน้อย ครูอัตราจ้าง ครูที่ถูกจ้างสอนเลยทีเดียว
ในอดีตการก้าวเข้าสู่อาชีพ "ครู" นั้นคือ การคัดเลือกเอาหัวกระทิ คนเก่ง คนดี ไปร่ำเรียนในโรงเรียนฝึกหัดครูซึ่งมีอยู่ไม่กี่แห่งในประเทศ คั้นจนได้หัวกระทิ แล้วส่งออกไปทำงานในถิ่นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เมื่อต้องการเพิ่มเติมความรู้ให้ครู ก็มีสถาบันในระดับอุดมศึกษาให้เข้าไปร่ำเรียนศึกษาต่อ เช่น วิทยาลัยวิชาการศึกษา หรือที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ได้ปริญญา (พร้อมภูมิรู้) มาจัดการศึกษาให้จำเริญรุ่งเรือง
ตอนที่ 2
มาต่อให้ครบชุดครับ ในญี่ปุ่นการเรียนภาคบังคับจัดให้ประชาชนทุกคน 9 ปีเช่นเดียวกับประเทศไทย ประถมศึกษาปีที่ 1-6 และมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ตอนที่แล้วเน้นที่ระดับก่อนประถมศึกษา ที่ชาวญี่ปุ่นเขาจะเน้นทักษะชีวิตกันในช่วงนี้มากที่สุด เพราะผ้าขาวเมื่อแต้มสีจะสดติดทนนาน พอมาถึงระดับประถมเขาก็จะสร้างการเรียนรู้ที่เน้นการช่วยเหลือตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นมากนักในการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การตื่นนอนทำความสะอาดร่างกาย แต่งตัว รับประทานอาหาร จัดข้าวของไปโรงเรียนด้วยตนเอง (นักเรียนบ้านใกล้) เรียนรู้จากสิ่งรอบข้าง
ตอนนี้จะตรงไปสู่การเรียนในระดับมัธยมศึกษา "มัธยมต้นค้นหาตนเอง 前期中等教育(中学)" นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากการเรียนในเมืองไทย ที่พ่อแม่ช่างเอาอกเอาใจ ไม่ต้องทำอะไรนอกจากเรียนหนังสือ (แต่จริงๆ แล้วจะเรียนหรือไม่ก็ไม่รู้ล่ะ) ในขณะที่ญี่ปุ่นทั้งผู้ปกครองและครู ต่างก็เข้ามาช่วยสนับสนุนในการจัดกิจกรรม ไม่ใช่ด้วยเงินหรือทรัพย์สิน แต่ด้วยใจและแรงกายเป็นหนึ่งเดียว (ในขณะที่บ้านเรา สมาคมครูและผู้ปกครอง คือแหล่งหาเงินเข้าโรงเรียนเท่านั้น ประชุมทีก็ขอบริจาคที แต่ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าเงินที่ขอไปนั้น ได้ออกดอกผลทางพุทธิปัญญาบ้างหรือไม่
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)