ครูสาวปลิดชีพ! ทิ้งจดหมายลาตาย
แฉ... เหนื่อยใจระบบบริหารโรงเรียน คนทำผิดโยนบาป
ข่าวเศร้าและสะเทือนใจคนในวงการการศึกษา ขอแสดงความไว้อาลัยต่อครูมัท ครูสาววัย 39 แห่งอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง พร้อมจดหมายลา ชี้ให้เห็นถึงการบริหารของโรงเรียนไม่มีระบบ ระเบียบ เธอเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ แล้วยังต้องควบกับงานการเงิน ซึ่งรับความกดดันและความเครียดสะสมจนถึงขีดสุดที่เธอจะทนได้ จึงตัดสินใจเช่นนั้น RIP ครับ
เธอตัดสินใจใช้เชือกผูกคอเสียชีวิตในบ้านพัก ข้างศพพบซองจดหมาย หน้าซองเขียนไว้ว่า “จดหมายส่วนตัวถึงครอบครัวของฉัน จากมัท” ในซองจดหมายมีถึง 5 หน้ากระดาษ โดยหน้าที่ 1-4 ผู้ตายได้เขียนถึงพี่สาวซึ่งเป็นข้าราชการครู, ลูกสาววัย 10 ขวบ และพ่อ-แม่ ส่วนหน้าที่ 5 เขียนบรรยายเกี่ยวกับการทำงานของเธอ
โดยระบุว่า “ข้าพเจ้าขอลาทุกคนบนโลกใบนี้ ไปด้วยความไม่สบายกาย และไม่สบายใจ ด้วยมีปัญหาในการเรื่องการทำงาน การเงิน การบัญชี ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำงานคั่งค้าง ทำให้พอกพูนจนแก้ไขได้ยาก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะข้าพเจ้าเพียงคนเดียว แต่เป็นเพราะเกิดจากกระบวนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในโรงเรียน การทำงานไม่เป็นระบบ ให้เบิกเงินก่อน เคลียร์เอกสารทีหลัง และก็นิ่งเฉยไม่มีใครมาเคลียร์ให้ อันไหนเคลียร์เองได้ก็ดีไป แต่อันไหนเคลียร์ไม่ได้ก็ต้องมานั่งเครียดเอง จนหัวจะระเบิด ไมเกรนแทบทุกวัน
ข้าพเจ้าเหนื่อยกายกับการทำงานนี้มาก สุขภาพก็ไม่ดีสะสมมาเรื่อยๆ สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจจากโลกนี้ไปก็เพราะเพื่อนร่วมงานที่จัดการ สั่งการมาโดยตลอด แต่พอถึงเวลามีความผิด กลับบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง นั่นก็คือครู…(ระบุชื่อ)
ส่วน ผอ. ที่ย้ายมาแต่ละคนก็ไม่เคร่งครัดเรื่องการเงินเลย ไม่มีความรู้ด้านการเงิน ใช้เงินไม่ถูกต้อง แต่พอมีความผิดอ้างว่าเราเป็นคนทำ ข้าพเจ้าขอโทษต่อเพื่อนร่วมงานท่านอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ข้าพเจ้าไม่สามารถทำงานนี้ต่อไปอีกได้แล้ว ถ้าอยู่ต่อไปคงพิการ หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้กับทุกคน ขออย่าให้ร้ายกัน ในวันที่ข้าพเจ้าไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ได้ ส่วนที่ผิดขอน้อมรับ แต่ส่วนที่ไม่ใช่ก็ขออย่าใส่ร้ายกันเลย
ฝากถึงกระทรวงให้ช่วยเห็นใจครูการเงินและพัสดุด้วยนะคะ อย่าให้ต้องทำงานหนักและเสี่ยงชีวิตแบบนี้เลย ลาก่อน”
เราได้อะไรจากบทเรียนนี้บ้าง
กระทรวงศึกษาธิการ หอคอยงาช้างเบื้องบน เจ้านายทั้งหลาย ต่างก็ได้แต่ออกมาแสดงความเสียใจ แล้วก็ตั้งกรรมการสอบสวนถึงปัญหา เบื้องหลัง นำมาเป็นบทเรียน ขึ้นหิ้ง แล้วก็ลืมๆ ไปเหมือนกรณีอื่นๆ ที่ผ่านมานั่นเอง หาได้นำไปแก้ไข ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องไม่ เราลองมาถอดบทเรียนจากจดหมายหน้าสุดท้ายกันดูทีว่าเธอบอกอะไรไว้บ้าง
งานที่ไม่เป็นระบบ แม้จะมีระเบียบมากมาย
การให้เบิกเงินก่อนแล้วค่อยเคลียร์เอกสารทีหลัง เป็นกระบวนการที่สุ่มเสี่ยงต่อความผิดพลาดและความไม่โปร่งใส ไม่มีระบบช่วยเหลือหรือสนับสนุนเมื่อเจ้าหน้าที่การเงินเผชิญปัญหา มักง่ายแต่ได้ยากลำบากทีหลัง
ปัญหานี้เกิดมานาน และจะยากที่จะแก้ไขไปอีกเมื่อ ผอ. ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นคนสั่งและทำเสียเอง ผมมีตัวอย่างในเรื่องนี้ (นานมาแล้วล่ะ สมัยที่เป็นเลขาฯ ผู้ตรวจราชการเขต 10 ออกตรวจเยี่ยมโรงเรียนในสังกัด ในเขตรับผิดชอบ) พบว่า มีผู้อำนวยการโรงเรียนหนึ่งเมื่อจะไปประชุมที่ใดก็มักจะสั่งให้ ครูการเงินนำเงินสดสำรองมาให้ก่อนจำนวน 5,000 บาท กลับมาจะเคลียร์เอกสารรายงานการเดินทางไปราชการ และใบเสร็จรับเงินต่างๆ ปรากฏว่า รายงานเดินทางนั้นมีค่าใช้จ่ายเพียง สองพันบาท ที่เหลือเป็นใบเสร็จรับเงินค่าอิฐมอญ (อิฐแดง) ที่นำมาส่งในวันรุ่งขึ้น (ผอ. เป็นเจ้าของโรงอิฐ)
ในระหว่างที่เดินตรวจไปรอบๆ อาคารเรียน เดินไปบนพื้นถนนที่วางเรียงอิฐแดงอย่างสวยงาม ผมก็เลยบ่นๆ ดังๆ ออกมาว่า "ทางเดินสวยเนาะ หมดอิฐไปเยอะเชียว" ผู้ช่วย ผอ. ที่เดินไปด้วยกันแอบกระซิบเบาๆ กับผมว่า "ยังดีนะที่แกยังสั่งให้ปูสลับด้านแบน ถ้าสลับวางแนวตั้ง ฉิบหาย! มากกว่านี้" สุดท้ายแกก็เกษียณไม่สวยเท่าไหร่ ตามคาด
ทิ้งภาระไว้ที่คนคนเดียว
การทิ้งภาระงานไว้ที่บุคคลเพียงคนเดียว เป็นการผลักดันคนดีๆ ออกจากระบบ ครูการเงินหรือเจ้าหน้าที่ด้านพัสดุ มักได้รับผิดชอบงานที่ซับซ้อนเพียงลำพัง โดยไม่มีระบบสนับสนุนใดๆ หรือแม้แต่ความเข้าใจจากเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งผู้บริหารโรงเรียนที่มักจะเป็นแค่คนสั่งการให้ดำเนินการ ไม่เคยติดตามผล ช่วยแก้ไขปัญหา แต่เมื่อถึงเวลามีการตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นเหนือขึ้นไป กลับลอยตัว แล้ว “ปัดความรับผิด” นั่นคือการทำลายจิตใจอย่างร้ายแรงจนเครียด สับสนไม่มีทางออก นำมาสู่การทำอัตวินิบาตกรรมในที่สุด
ผู้บริหาร ที่ไม่ได้แม้แต่หาร
ความเงียบงันและความไม่รับผิดชอบของผู้บริหาร ผู้อำนวยการที่ขาดความรู้ความเข้าใจด้าน "การเงิน" และไม่ติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อบุคลากร การโยนความผิดให้ผู้อื่น เป็นพฤติกรรมที่ทำลายความศรัทธาและวัฒนธรรมองค์กร จึงเป็น "ผู้บริหาร" ที่ไม่ได้มีส่วนแม้แต่เพียงช่วยเป็น "ตัวหาร" ในภาระหน้าที่นี้ ทั้งๆ ที่ตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนนั้นเป็นตำแหน่งสำคัญและมีหน้าที่ชัดเจนในการทำงานในระบบระเบียบ
"The School Director" Role.. บทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียน “ตัวการ Principal” ที่ทำให้เกิด “ความสำเร็จ หรือ ล้มเหลว” ของสถานศึกษา “Leadership is an essential component of a school’s successes or failure”
เรื่องนี้ ผมนำเอาบทความของ อาจารย์สุทัศน์ เอกา ไว้เมื่อนานมาแล้ว ไปอ่านเพิ่มเติมที่ "บทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียน"
สุขภาพจิตของคนในองค์กร
สุขภาพจิต คือ ปัจจัยสำคัญของการอยู่รอดในระบบการศึกษา อาการไมเกรนและความเครียดสะสมจน “หัวจะระเบิด” เป็นเสียงสะท้อนของความทรมานทางใจที่มองไม่เห็นด้วยตา ขาดระบบเยียวยา ขาดช่องทางพูดคุย หรือขาดคนฟังอย่างแท้จริง ผู้บริหารในทุกหน่วยงานควรทำงานแบบเป็นพี่น้อง คอยเงี่ยหูฟัง ให้คำปรึกษาชี้แนะ ทำงานด้วยการเปิดใจ เห็นใจ รับฟังปัญหา และช่วยกันหาทางแก้ไข หาใช่ชี้นิ้วสั่งการแล้วโยนภาระนั้นให้เจ้าหน้าที่การเงินพัสดุรับไปเพียงลำพัง เช่นนี้
ขอแสดงความอาลัยต่อครูมัท
เมื่อเกิดการสูญเสียเช่นนี้ ขออย่าให้เป็นเพียงการกล่าวลอยๆ ว่า เสียใจ แล้วก็เงียบหายไปดั่งสายลม ขอให้บทเรียนนี้ได้รับการแก้ไขไปในทางที่ดี ขอให้เพื่อนครูได้รับผิดชอบในหน้าที่การสอนลูกหลานนักเรียนเป็นหลัก แล้วให้หน้าที่อื่นๆ นั้นมีคนที่มีความรู้เรื่องกฏระเบียบเชี่ยวชาญเฉพาะมาปฏิบัติเถิด "ครู" ร่ำเรียนมาเรื่องจิตวิทยาการสอน การสร้างสื่อการสอน การวัดผลประเมินผล แต่.. กลับไปรับผิดชอบการเงินการบัญชี การตรวจรับพัสดุ อาคาร-สถานที่ ยังกะเรียนจบมาทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม ก็ไม่ปาน โดยเฉพาะหน่วยตรวจสอบอย่าง สตง. ที่ควรจะชี้แนะกลับไปบีบให้รับผิดชอบ จนกลายเป็นคนผิด คนโกงชาติบ้านเมืองก็มิปาน
จะแก้ไขอย่างไร? นักกฎหมาย สภานิติบัญญัติ กระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องต้องทบทวน ปฏิวัติระบบราชการนี้เสียที "อย่ารอให้ครูต้องฆ่าตัวตาย หรือตึกถล่มลงมาอีก"
สุดท้าย ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวคุณครูมัท "ครูอนุสรา ชวนรัมย์" เป็นอย่างสูง และขอให้บทเรียนนี้เป็น "ครูผู้จากไปเพราะหน้าที่คนสุดท้าย" ของกระทรวงศึกษาธิการด้วยเถิด
ขอแสดงความอาลัยยิ่ง จากครูมนตรี โคตรคันทา
บันทึกไว้เมื่อ 17 มิถุนายน 2568