ติดปีก (3) : Final Interview

ระมาณซักสัปดาห์นึงผ่านมา ปรากฎว่า กรรมการโทรมาหา แต่ว่าตอนนั้น ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไว้กับตัว เลยพลาด… โทรศัพท์สายสำคัญนั้นไป ก็เลยรู้สึกกังวลมาก จะโทรกลับไปก็ไม่ได้ เลยแนะนำว่า อย่าลืมเอาโทรศัพท์ไว้กับตัวเสมอนะครับ

วันต่อมา เลยถือโทรศัพท์ไว้กับตัวเลย กำลังนั่งมอเตอร์ไซค์อยู่เลยครับ ปรากฎว่า เป็นกรรมการโทรมา ขอเลื่อนวันสัมภาษณ์เรา จากที่ลงไว้วันที่ 30 มาเป็นวันที่ 25 ตอนบ่ายโมงพอดี ตอนนั้นคิดไรไม่ถูก ก็เลยตอบตกลงไป เพราะว่าถ้าไม่ตกลง ก็กลัวกรรมการคิดว่าเราไม่ให้ความร่วมมือ หรือว่าเรื่องมาก อีกอย่างก็ดีเหมือนกัน ที่เราจะได้สัมภาษณ์ไปให้เสร็จเรียบร้อย จะได้ไม่ต้องกังวลอีก

(ความจริง โทรศัพท์ครั้งนั้น เป็นโทรศัพท์เปลี่ยนชีวิตเลยครับ เพราะถ้าไม่ได้เลื่อนวันสัมภาษณ์มาเป็นวันที่ 25 ก็คงไม่ได้ทำงานนี้แล้วครับ เพราะเท่าที่ทราบกลุ่มที่ได้สัมภาษณ์วันหลัง จากช่วงวันที่ 25 จนถึงตอนนี้ผ่านไปปีกว่า ยังไม่ได้สัมภาษณ์เลยครับ เรียกว่าโดน On Hold)

ก่อนจะถึงวันสัมภาษณ์ เราก็ต้องเตรียมตัวกันนิดนึง ไม่ว่าจะเป็น การหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท วิสัยทัศน์ ชื่อประธานบริษัท รางวัลที่สายการบินได้รับ รวมถึงเตรียมคำถามที่คิดว่า น่าจะถาม อย่างเช่น ทำไมถึงอยากทำงานนี้ พร้อมที่จะย้ายไปอยู่ต่างประเทศมั้ย เป็นต้นครับ โชคดีที่ได้พี่คนนึงช่วยไว้ หาข้อมูลมาให้ ช่วยเก็งคำถาม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เตรียมอะไรไปมาก มั่วๆ เอาก็แล้วกัน (ได้เพิ่มเติมความรู้นี้ไว้ใน คำถามในการสัมภาษณ์เข้าเป็นลูกเรือ และ Cabin Crew Q and A Tips แล้วครับ)

สำหรับเอกสารที่ต้องนำไป ในวันสัมภาษณ์รอบสุดท้าย ก็จะมีรูปถ่ายแบบ casual สองรูป เป็นรูปเต็มตัวหนึ่งรูป และครึ่งตัวหนึ่งรูป เอกสารวุฒิการศึกษา และสำเนาพาสปอร์ตที่มีอายุไม่ต่ำกว่าหกเดือน รายการเอกสารทางกรรมการจะแจกให้ มาตั้งแต่รอบแรกๆ แล้วครับ ดังนั้น ก็เตรียมไปให้พร้อม เตรียมไปเผื่อด้วยนะครับ

เช่นเคยว่า ก็ควรที่จะต้องไปถึงก่อนเวลาสัมภาษณ์มากๆ หน่อย กันพลาด ไปถึงที่โรงแรมก็ไปนั่งรอหน้าห้องสัมภาษณ์ ด้วยอาการตื่นๆ นิดนึง พอดีเจอเพื่อนๆ ที่มาสัมภาษณ์ก่อนหน้า ก็มีเพื่อนคุยให้พอหายตื่นเต้นไปบ้างนิดหน่อยครับ

กรรมการที่สัมภาษณ์ในรอบสุดท้าย ก็เป็นกรรมการชุดเดียวกันกับที่สัมภาษณ์กลุ่มในวันก่อน พอถึงเวลานัดของเรา กรรมการก็ออกมาบอกให้เรารอซักครู่ ขอเวลาเตรียมเอกสารก่อน จากนั้นมาเชิญเราเข้าห้องไป

พอเข้าไป ก็ทักทายจับมือกันเล็กน้อย กรรมการเชิญให้เรานั่ง แล้วก็ขอเอกสารของเราไป ผ่านทุกอย่าง ยกเว้นรูปถ่าย Casual ที่ยังไม่แคชช่วลพอ เลยขอให้เราส่งตามไปทีหลังก็ได้ทางอีเมล์ จากนั้นก็ชี้แจงเรื่องวิธีการสัมภาษณ์ว่า กรรมการท่านนึงจะเป็นคนถาม อีกท่านนึงจะเป็นคนจด ก็ขอให้พูดไปเรื่อยๆ ตอบตามคำถามที่ถาม ไม่ต้องสนใจว่า กรรมการจะจดอะไรลงไปบ้าง

ก่อนเริ่มกรรมการถามว่า “เครียดมั้ย?” ก็ตอบว่า “เครียด ตื่นเต้น” เค้าก็บอกว่า “งั้นก็รีแลกซ์ สบายๆ คุยกันเฉยๆ” ซึ่งกรรมการที่สัมภาษณ์บอกว่า เค้าทั้งสองคนไม่ได้เป็นคนที่จะตัดสินว่า เราจะได้หรือไม่ได้ คนที่จะคัดเลือกจริงๆ คือ ฝ่ายคัดเลือกที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งจะพิจารณาแฟ้มประวัติของเรา ที่กรรมการสัมภาษณ์ทำส่งไปให้ต่างหาก คล้ายๆว่า กรรมการสัมภาษณ์จะเป็นคน Recommend ว่าควรจะเลือกผู้สมัครคนนี้เพราะอะไร มีจุดเด่นตรงไหน

สำหรับคำถาม ก็จะเป็นคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เราเขียนลงไปใน CV เป็นส่วนใหญ่ครับ การสัมภาษณ์ก็จะใช้เวลาประมาณสี่สิบห้านาที ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าเหมือนสามชั่วโมง เพราะต้องคิด แล้วก็สื่อสารออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ให้ได้ใจความ ตามที่กรรมการถาม ซึ่งถ้าย้อนกลับไปตอนนั้น ต้องบอกว่า ไม่เคยต้องสนทนาภาษาอังกฤษแบบยาวนานขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แถมเรายังต้องเป็นคนพูด แทบจะเรียกว่าฝ่ายเดียว กรรมการเป็นผู้ฟังมากกว่าถามเราอีกครับ

หัวใจสำคัญของการสัมภาษณ์ในรอบนี้คือ การเข้าใจว่าคำถามที่กรรมการถามนั้น กรรมการต้องการอะไร และอยากเห็นอะไรในคำตอบของเรา ยกตัวอย่างคำถามเท่าที่จำได้นะครับเช่น “เคยมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือไม่?” สิ่งที่กรรมการคาดหวัง คือ ทักษะความสามารถในการแก้ปัญหาในระหว่างการทำงาน เคยต้องแก้ปัญหาเองหรือตัดสินใจเองหรือไม่ ความคาดหวังคือ การกล้าตัดสินใจในการทำงาน และประสานงานกับผู้ร่วมงาน หรือหัวหน้างานภายหลังที่มีการตัดสินใจทำไปแล้ว เป็นต้น

คำถามที่ได้มาก็มี “เคยบริการลูกค้าในแบบที่เกินความคาดหวังของลูกค้าบ้างไหม” “เคยต้องแก้ปัญหาอะไรที่คิดว่ายากที่สุดมั้ย” ซึ่งเราก็ต้องตอบคำถาม และยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เราเคยทำงานมา ให้กรรมการเห็นว่า เรามีประสบการณ์การทำงานอะไรมาบ้าง และเราผ่านจุดนั้นมาได้ยังไงนะครับ

สำหรับคำถามที่กรรมการถาม สังเกตว่า เค้าจะมีคำถามบังคับมาอยู่แล้ว แล้วก็มีคำถามที่กรรมการถามเดี๋ยวนั้นด้วย พอเราพูดอะไรออกไป กรรมการก็จะจดบันทึกลงในแบบฟอร์ม ดังนั้น ก็ไม่ต้องตื่นเต้น พูดให้เต็มที่ เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดครับ พอครบทุกคำถามแล้ว กรรมการก็ให้โอกาสเราถามคำถามกรรมการได้

ตอนนั้นก็ถามไปว่า เรื่องชีวิตความเป็นอยู่จะยากมั้ย ที่จริงก็เราก็ควรจะถามอะไรบ้างเล็กน้อยนะครับ เป็นการแสดงว่า เราสนใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่สำคัญ ก็ไม่ควรเป็นคำถามที่ดูไร้สาระไปนะครับ หรือเป็นสิ่งที่เราสามารถหาข้อมูลได้เอง สุดท้าย กรรมการเดินมาส่งที่หน้าประตู จับมือแล้วก็บอกว่า หวังว่าจะได้ร่วมงานกันในอนาคต เราก็ตอบว่า คิดว่าน่าจะได้ร่วมงานนะครับ^^

พอออกมาก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก โล่งอกไป รอลุ้นผลในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า แต่ที่สำคัญก็คือ จะต้องส่งรูปถ่ายไปใหม่ด้วย ก็จัดการให้เรียบร้อยห้ามลืมนะครับ ระหว่างนั้น ทำใจให้สบาย เราทำดีที่สุดแล้วครับ ที่เหลือก็คือเรื่องของสายการบิน ที่เค้าจะเลือกเรารึเปล่าเท่านั้นเองครับ

พอเวลาผ่านไปได้ซักหนึ่งสัปดาห์ ขณะที่นั่งรถไปกับคุณพ่อกับคุณแม่ โทรศัพท์มือถือก็จะมีเสียงดังขึ้น เป็นข้อความ SMS ที่เขียนว่า “Dear applicant, You have now optained the final approval.” พออ่านจบถึงกับร้องเย้!!… ขึ้นสุดเสียง จนคุณแม่ตกใจว่า ลูกเป็นอะไรไป ทั้งสามคน พ่อ-แม่-ลูก ยิ้มกันหน้าบานไปเลยล่ะ

แล้วพบกันตอนหน้านะครับ ยังมีขั้นตอนอีกหลายอย่างที่ต้องทำก่อน จะได้รับตั๋วเครื่องบินเดินทางไปยังเมืองฐานการบินของเรา… โปรดติดตาม!!!

Loading

About Post Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error

Enjoy this blog? Please spread the word :)