คำแนะนำสำหรับทุกท่านท่านสามารถ "ค้นหา" บทความย้อนหลังด้วยคำภาษาไทยจากเว็บไซต์นี้ได้ง่ายๆ อ่านที่นี่ครับ |
ความห่วงใยในการเปิดเรียนภาคการศึกษาใหม่ 1/2564 นี้ คงไม่มีอะไรมากไปกว่า "อันตรายจากโควิด-19" เป็นแน่แท้ โรคร้ายที่ลุกลามแผ่ขยายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วพร้อมกับการพัฒนาตัวเองให้แปรเปลี่ยน จากตัวเดิมเป็นสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ระบาดได้รวดเร็วและรุนแรงมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่า การระบาดในรอบที่สามในประเทศไทยกระจายตัวรวดเร็วมาก น่าจะมาจากนอกประเทศทางฝั่งทิศตะวันออกจากเซียนพนันในบ่อนชายแดน มาสู่สถานบันเทิงในกรุงเทพฯ แล้วกระจายตัวออกไปสู่ต่างจังหวัด พอดีกับช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ เพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น แผนที่ประเทศไทยที่แสดงการติดเชื้อจากสีขาว ก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เขียว ส้ม และกลายเป็นสีแดงในทุกจังหวัดจริงๆ
ต้อนรับการเข้ามารับตำแหน่งของรัฐมนตรีใหม่หมาดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องยอมรับในไม่ช้าว่า ต้องเลื่อนการเปิดภาคเรียนจากเดิม 17 พฤษภาคม ไปเป็นวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะเปิดได้จริงไหม หรือจะต้องเลื่อนออกไปอีก เพราะสถานการณ์ในขณะที่เขียนบทความนี้คือมีรายงานการติดเชื้อมากขึ้นถึง 4,887 คน เสียชีวิตในวันนี้มากถึง 32 คน ด้วยวัยที่น้อยลงด้วย
เฮ้อ! เหนื่อย ว่าจะไม่บ่นแล้วแต่ก็อดไม่ได้ ด้วยสาเหตุปีการศึกษา 2563 "วงการครูท็อปฟอร์ม" จริงๆ ไม่เชื่อผมใช่ไหมลองไปถามเพื่อนกู(เกิ้ล)ด้วยคำว่า "ครูฉาว" ดูสิครับ มีตั้งแต่ผู้บริหารโรงเรียนไปถึงครูอัตราจ้างเลย แล้วจะได้ไม่ให้นักเรียนและผู้ปกครองเขาหน่ายแหนงได้อย่างไรกัน
การพัฒนาวิชาชีพก็อีกเรื่องหนึ่ง การรับ "ครู" และ "ผู้บริหาร" เข้าไปทำงานเพื่อสร้างเยาวชนของชาติ เปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษามันก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราไม่สามารถคัดกรองคนได้ ปัญหาทั้งหลายที่ท่านไปค้นหาพบนั้น ก็คงจะไม่มีวันหมดไปแน่นอน ยิ่งอยู่ในสภาวะสังคมที่ปากกัดตีนถีบอย่างนี้ บางคนก็ห่วงแต่สร้างภาพพจน์ ติดหรูกัน มันก็ยิ่งเพิ่มเหตุแห่งปัญหาเข้าไปไม่จบสิ้น
แน่นอนว่า "ครู" ในวันที่ผมก้าวเข้ามาสู่อาชีพนี้ การแข่งขันไม่มากนัก มีตัวเลือกที่ดี คนที่เรียนเก่ง เรียนดีจนเป็นแบบอย่าง จะเลือกเรียน "ครู" ไม่ใช่หมดทางเลือกค่อยมาเรียนครู การเล่าเรียนในสถาบันการฝึกหัดครูยุคนั้น ก็ร่ำเรียนในศาสตร์หลายสาขา ทั้งความรู้ในวิชาสามัญทั่วไป วิชาเอกที่ตัวเองคิดว่าถนัดและชอบ นอกจากนั้นยังเรียน จิตวิทยาการศึกษา วิธีการสอน การดูแลนักเรียนจำนวนมาก หลายวิชาและหลายหน่วยกิตด้วย
ขอมาอัพเดทความคิดความเห็นการศึกษากันสักเล็กน้อยนะครับ การศึกษาไทยเรานั้นอยู่ในขั้นวิกฤติด้านการบริหารจัดการ สร้างภาวะความเครียดให้ทั้งกับครูผู้สอน นักเรียน ไปจนถึงผู้ปกครองโดยทั่วไป แต่เราดูข่าวแล้วมักจะพบว่า "บรรดาท่านผู้กุม(มี)อำนาจทั้งหลายเวลามีไมโครโฟนจ่อปากก็จะตอบฉาดฉาน ไม่กระดากปากแม้แต่น้อยว่า 'การเรียนออนไลน์ได้ผลดี' จนประชาชีฟังแล้วท้อใจ ถามกลับเบาๆ ในใจว่า 'จริงหรือ?' ท่านคงมีคำตอบในใจนะครับ"
เราได้รับบทเรียนจากการสั่งปิดโรงเรียน สถานศึกษา จากการระบาดโควิด-19 รอบแรกมาแล้ว ได้เห็นความไม่พร้อมในการจัดการต่างๆ เห็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในทุกระดับ ที่เมื่อก่อนจะมองว่า คนชนบทห่างไกลจะมีความเหลื่อมล้ำมากที่สุด แต่พอการระบาดของไวรัสร้ายมากระทบจึงทำให้เห็นว่า คนในสังคมเมืองใหญ่นี่แหละมีความเหลื่อมล้ำมากกว่า เดือดร้อนมากที่สุดด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ
ปิดเรียน ให้อยู่บ้าน เรียนที่บ้าน : บ้านนอกบ้านนา ยังมีปู่ย่า ตายาย คอยดูแลได้แม้จะไม่มากนัก แต่ดีกว่าชุมชนเมือง ที่เด็กถูกทอดทิ้งทันที พ่อแม่ยังต้องดิ้นรนออกไปทำมาหากิน เด็กอยู่อย่างไร?
"ทิศทางการศึกษาไทยในวันนี้" คำถามที่ไม่มีคำตอบ (ที่ตรงกัน) แม้จะถามกับคนเดียวกันในต่างวันกัน คำตอบที่ได้ก็ไม่เหมือนเดิมด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แม้แต่จะมาจากการตอบของเหล่าเสนาบดี ผู้มีอำนาจในการกำหนดทิศทางการศึกษา นักวิชาการ ผู้รู้ในแวดวงการศึกษาไทย เพราะอะไรหรือจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะ "อัตตา" ไงครับเชื่อตามๆ กันมาบ้าง คิดว่ามันไม่ถูกต้องถ้าทำแบบนั้น ก็เลยมีนโยบายรายวันที่เปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนของผู้มีอำนาจในขณะนั้น คนทำไว้ก่อนแม้จะดีเพียงใดก็ไม่ใช่นโยบายของเรา เราต้องเปลี่ยน โดยลืมไปว่า "การจัดการศึกษาไม่สามารถทำให้เกิดผลได้ในเร็ววัน" อย่างน้อยๆ มันไม่ส่งผลให้เห็นได้ภายในปี หรือสองปี ที่ท่านเป็นผู้มีอำนาจกุมนโยบายดอก แล้วสิ่งที่ทำนั้นมันวุ่นวายสับสนจนคนปฏิบัติ (ครูในโรงเรียน) จะเป็นบ้าตายเสียก่อน ตายเพราะรายงานที่ท่านทั้งหลายต้องการนั่นแหละ
กล้วยไม้มีดอกช้า ฉันใด
การศึกษาเป็นไป เช่นนั้น
แต่ออกดอกคราวไร งามเด่น
การศึกษาปลูกปั้น เสร็จแล้วแสนงาม "มล.ปิ่น มาลากุล
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)