คำแนะนำสำหรับทุกท่านท่านสามารถ "ค้นหา" บทความย้อนหลังด้วยคำภาษาไทยจากเว็บไซต์นี้ได้ง่ายๆ อ่านที่นี่ครับ |
การปะติลูบคลำ "การศึกษาไทย" ที่ยุ่งเหยิงมานานนับสิบปีไม่ไปไหน เพราะพวกเรา (เสนาบดีเจ้ากระทรวง ข้าราชการ นักวิชาการ สื่อสารมวลชน และรวมทั้งนักวิชาเกินอย่างผมด้วย) ต่างก็พุ่งเป้าชี้มือโทษไปที่ "ครูและโรงเรียน" เป็นจำเลยที่ไม่พัฒนาไปถึงไหน ต้องปรับปรุง พัฒนา อบรม สร้างความตระหนักให้มาก ลงทุนทุ่มลงไปมากมายมหาศาล ตั้งแต่ แท็ปเล็ต (น้ำตาเล็ดเพราะจิ้มไม่ไป ตอนนี้กลายเป็นขยะอยู่หลังห้อง) ห้องเรียนเทคโนโลยีวิเศษ (ชื่อแปลกๆ) สื่ออิเล็กโทรนิกส์ ยางรถยนตร์ทาสีสันแสบตา และอื่นๆ อีกมากมาย จนมาปีนี้ทุ่มทุนสร้างจัดตลาดนัดวิชาแจกทุนคนละหมื่นให้ไปอบรมตามใจชอบ ก็มีข่าวเหม็นๆ เรื่องเงินทอน จนหลายสถาบันผู้จัดขอระงับการจัดอบรมไปนับร้อย นี่เป็นหนทางที่ถูกต้องแล้วหรือ? พวกเรากำลังลงโทษโรงเรียนและครูมากไปหรือเปล่า? เราชี้หน้าด่าคนผิดไปใช่ไหม.... บลาๆๆๆ
ผมว่า "เราโทษคนผิดไปจริงๆ เราลืมความจริงที่ว่า โรงเรียนไม่ใช่โรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถผลิตสินค้าที่ดี ไม่มีตำหนิได้ทุกชิ้น แม้ว่า วัสดุตัวป้อนจะมีตำหนิ รูปร่าง สมองที่แตกต่างกัน สัมฤทธิผลจากโรงเรียนจึงไม่อาจออกมาได้เริ่ดเลอ สมดังความตั้งใจของผู้กำหนดนโยบาย ไม่ว่าจะนำมาตรวัด O-net, A-net, NT, PISA มาวัดอย่างไรก็ไม่เป็นผล" พวกเราลืม "ตัวป้อน" ซึ่งก็คือนักเรียน และ "สภาพแวดล้อม" คือครอบครัว พ่อ-แม่ ผู้ปกครองและสังคมรอบข้าง ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ไปเสียสิ้น เราจะปฏิรูปการศึกษาแต่ดันไปเข้าเกียร์ R ให้ถอยหลังซะงั้น ได้โปรดคืนเวลาให้คุณครูได้อยู่ดูแลครอบครัวในวันหยุดที่ไม่เคยได้หยุด ได้เตรียมการสอนเพื่อสอนนักเรียนจริงๆ เสียทีเถิด ใบงาน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และครูตู้มันช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกครับ
ผมได้อ่านข้อความที่แชร์กันในโลกออนไลน์ (Facebook) เมื่อหลายวันก่อน เกี่ยวกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของจีน นางเผิง ลี่หยวน (ภริยาของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xí Jìnpíng)) ดังที่ลอกมาให้ท่านได้อ่านและพิจารณา ดังนี้
ไม่ได้อัพเดทเสียนานมากๆ ครับ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ นอกจากจะบอกว่า สมองตีบตัน แบบว่าพูดเรื่องเดิมๆ จนเบื่อแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างเลย ไม่มีใครฟังใคร มีแต่นโยบายรายวัน ลักปิดลักเปิด สั่งการเรื่องนั้นที เรื่องโน้นที แล้วก็ตามด้วยให้รายงานด่วนว่าผลเป็นอย่างไร? จริงๆ ไม่ต้องถาม ไม่ต้องรายงานก็รู้อยู่แล้วว่าผลมันล้มเหลวตั้งแต่ต้น นี่คือการจัดการศึกษาและการแก้ปัญหาแบบไทยๆ
บอกเลยครับว่า กรุณาอ่านให้จบ...
ตอนนี้การศึกษาไทยกำลังใส่เกียร์ถอยหลังครับ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารโครงสร้างการบริหารจัดการ เมื่อสิบกว่าปีก่อนเราเคยหลอมรวมหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ (โดยอ้างว่า เพื่อให้ตรงกับการปฏิบัติงาน ไม่มีความซ้ำซ้อน) ยุบศึกษาธิการจังหวัด/อำเภอ กรมวิชาการ กรมสามัญศึกษา และอื่นๆ มาเป็น สพฐ. มีสำนักงานเขตพื้นที่กระจายไปตามขนาดจังหวัดมากบ้าง น้อยบ้าง ต่อมาก็เรียกร้องอีกแยกเป็นเขตประถม/มัธยม เก้าอี้ร้อนวาบๆ กันไป แล้ววันนี้ ก็กลับมาจัดตั้งศึกษาธิการจังหวัดอีก พายเรือในอ่างไหมล่ะครับท่าน ครูก็มีเจ้านายหลายคนเหมือนเดิมไม่รู้จะฟังใครบ้าง ต้องรายงานเพิ่มมากขึ้นหลายระดับ โรงเรียนเป็นนิติบุคคลมันคืออุดมคติจริงๆ
ดูข่าวการปฏิรูปกระทรวงศึกษาธิการ การผ่าตัดกระทรวงครูด้วยกฎหมายพิเศษ ม.44 หลายครั้งหลายครา แต่ดูเหมือนเป็นการย้ายก้น ย้ายเก้าอี้นั่ง จนดูเหมือนเริ่มจะเข้าเกียร์ถอยหลังกลับไปเป็นกระทรวงศึกษาธิการเดิม เมื่อยังไม่ยุบกรมกองตั้งใหม่เข้าไปทุกที เช่น การกลับมาของศึกษาธิการจังหวัด การให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมานั่งประธานการพิจารณาปรับย้ายข้าราชการครู ข่าวจะแยกกระทรวงอุดมศึกษาออกไปตั้งใหม่ มีการดิ้นรนพยายามผลักดันให้มีสามัญศึกษาจังหวัด ประถมศึกษาจังหวัด กรมวิชาการ และสารพันข่าว ที่ยังไงก็มองไม่ออกว่ามันจะยกเครื่องปฏิรูปการศึกษาให้ก้าวหน้าขึ้นนำในอาเซียนตรงไหน คิดเหมือนผมไหม
วันนี้ ผมเจอท่านที่คิดเหมือนผมในเฟซบุ๊ค ยุทธ วชิรปัญญาวัฒน์ คือเหมือนกับที่ผมเคยบ่นๆ มาหลายครั้งนั่นแหละว่า จะพัฒนายกเครื่องการศึกษาให้ได้ต้องมายกเครื่องโรงเรียนให้พร้อมก่อนดีกว่า เลยคัดลอกมาให้อ่านกันพร้อมกับเสริมความเห็นของผมเข้าไปเสริมในส่วนที่เป็นอักษรตัวเอียงนิดหน่อย เชิญอ่านครับ
ไม่ได้อัพเดทบทความใดๆ มานานครับ ได้แต่นั่งมองนโยบายรายวันที่แก้ปัญหาแบบลิงแก้แห เกาไม่ถูกที่คัน แบบวัวพันหลัก ปัญหาการศึกษาชาติต้องแก้กันทั้งระบบ ไม่ใช่เอะอะก็ลงมาที่ครูกันหมด วันนี้จะมายำปัญหาต่างๆ (เรื่องเดิมๆ) ให้ท่านทั้งหลายได้อ่านกัน จะเอาไปคิดไปแก้ไขต่อกันก็ได้ตามสะดวก หรือไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่าอะไร แต่เปิดใจรับฟังกันสักนิดดีไหม... มีพาดหัวข่าวที่แชร์กันในเฟซบุ๊คมาจากเว็บหนึ่งว่า "พี่ไทยดูไว้! ฟินแลนด์จ่อเป็นประเทศแรกในโลกที่ยกเลิกวิชาเรียนทั้งหมด" แล้วก็คอมเมนต์กันสนุกปากว่า ไม่มีทางทำได้ หรือรอให้เต่ามีเขางอกก่อน ก็ว่ากันไป
มีโรงเรียนมากมายในปัจจุบันที่สอนโดยอิงจากหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับสังคมโลกในยุค 1900 เราต้องคิดใหม่และออกแบบระบบการศึกษาใหม่ที่เข้ากับยุคสมัยศตวรรษที่ 21 นั่นคือทักษะที่เด็กในวันนี้ต้องเรียนรู้เพื่อจะเอาไปใช้ในอนาคต
Marjo Kyllonen ผู้อำนวยการของกรมสามัญศึกษาในเฮลซิงกิ
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)